10 วิธีเปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้น (ปรับแค่นิดเดียว)

10 วิธีเปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้น (ปรับแค่นิดเดียว)

เพื่อที่เราจะกลายเป็นคนที่ดีขึ้นได้ เราจะต้องเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียก่อน การเปลี่ยนแปลงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เราเติบโตและก้าวไปสู่คนที่เราอยากจะเป็นได้ หลายคนมักจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลงซึ่งอาจเป็นผลที่ทำให้เติบโตได้ยากมาก และเมื่อคุณยอมเปิดใจและเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลง คุณก็จะสามารถเติบโตเป็นคนที่คุณอยากเป็นได้

วิธีการเอาชนะอุปสรรคที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อที่จะเติบโตเป็นคนที่ดีขึ้นมีดังนี้

10 วิธีเปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้น (ปรับแค่นิดเดียว)

#1 การเลิกแก้ตัว

เคยได้ยินวลีนี้ไหม “คนดีชอบแก้ไข คนอะไรชอบแก้ตัว” เรามักจะพบเห็นการแก้ตัวในลักษณะของการกล่าวโทษผู้อื่นในสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน เช่น การโทษเจ้านาย ลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า หรือแม้แต่คนในครอบครัวอย่างคู่ครองของตัวเอง เป็นต้น และใครก็ตามที่เกี่ยวข้อง แต่อย่างไรก็ตามจะไม่มีการโทษตัวเองเกิดขึ้น

แทนที่จะคอยเอาแต่แก้ตัว หรือชี้นิ้วใส่ใคร คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่า ทำไมคุณถึงยังไม่มีความสุข หรือรู้สึกว่ายังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเสียที จริงๆ แล้วการเปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้นไม่ได้ยากขนาดนั้น หากคุณรู้จักที่จะหยุดแก้ตัว หรือคอยโทษคนรอบข้าง แล้วเริ่มเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง เพื่อแก้ไขทำให้ถูกต้อง

 ถ้าคุณสามารถทำเช่นนี้ได้แล้ว เมื่อใดที่มีปัญหา หรืออุปสรรคต่างๆ เกิดขึ้น คุณก็จะสามารถยอมรับและผ่านมันไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องแก้ตัว หรือโยนความผิดให้ใครทั้งนั้น เพียงเท่านี้คุณก็ได้กลายเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว         

#2 การจัดการกับความโกรธ

เราทุกคนล้วนประสบกับความรู้สึกโกรธในชีวิตของเรา อย่างไรก็ตามความโกรธที่เราไม่สามารถควบคุมได้สามารถสร้างปัญหาในความสัมพันธ์ของเราได้ หรือแม้กระทั่งกับสุขภาพของเราเองก็ตาม ทั้งหมดนี้สามารถนำไปสู่ความเครียดและปัญหาต่างๆ อีกมากมาย ทำให้เราเกิดความสับสนกับชีวิตและทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการเรียนรู้ที่จะจัดการและละทิ้งอารมณ์ความโกรธ จึงมีความสำคัญ

การจัดการความโกรธไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคนเสมอไป แต่ในเบื้องต้นคือ เราควรฝึกที่จะรับรู้เกี่ยวกับความรู้สึกโกรธและวิธีจัดการกับมัน เมื่อคุณมีความรู้สึกโกรธเกิดขึ้น ให้ลองสังเกตว่าคุณรู้สึกโกรธเมื่อใดและเพราะเหตุใด

นอกจากนี้คุณยังสามารถสังเกตไปที่ “ตัวกระตุ้น” ของคุณและกำจัดสิ่งเหล่านั้นออกไปให้ได้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น หากคุณพบว่าตัวเองหงุดหงิด หรือโกรธ เนื่องจากมีใครบางคนทำให้คุณโกรธ คุณจะต้องพยายามจำกัดบทบาทของพวกเขาให้มีผลต่อชีวิตของคุณให้น้อยที่สุด หากไม่ได้ผลให้ลองพูดคุยกับพวกเขาก่อน

สิ่งสำคัญคือ เราต้องเรียนรู้ที่จะละทิ้งความโกรธที่เหลืออยู่ในแต่ละวันออกไปให้หมด อย่าตื่นขึ้นมารับวันใหม่ด้วยความโกรธที่เก็บสะสมมาตั้งแต่คืนก่อน คุณจะสามารถจัดการกับความโกรธที่มีอยู่ได้ง่ายขึ้น เมื่อคุณคิดได้ว่าไม่ควรยึดติดกับอดีต และควรอยู่กับปัจจุบันให้มากขึ้น

#3 การรู้จักให้อภัย

การให้อภัยแก่คนที่ทำร้ายคุณ หรือทำอะไรที่ไม่ดีกับคุณนั้นเป็นเรื่องยากมากที่หลายคนจะทำได้ และยังมีคนไม่น้อยที่คิดว่า ในเมื่อฉันไม่พอใจใครสักคนที่ทำอะไรไม่ดีบางอย่าง ฉันก็จะไม่มีทางให้อภัยแก่พวกเขาได้ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม แต่ฉันก็จะขอถือความรู้สึกที่มีต่อพวกเขาแบบนี้เอาไว้ไปตลอดชีวิต ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ส่งผลเสียทั้งต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของคนที่ไม่ยอมให้อภัยมาก

มนุษย์ล้วนแต่มีแนวโน้มที่จะทำผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น  หากไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากเป็นเพราะตัวคุณเอง แทนที่จะยึดติดกับความผิดพลาดนั้นไปตลอดชีวิต ลองพยายามให้อภัยคนที่เคยทำบางอย่างที่ไม่ดีกับคุณสักคน เพื่อเป็นการปลดปล่อยตัวเองออกจากประสบการณ์เชิงลบในอดีต โดยการก้าวข้ามผ่านอดีตอันเลวร้าย เมื่อคุณสามารถให้อภัยแก่พวกเขาได้แล้ว จงภูมิใจในตนเองได้เลยว่า คุณได้เปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิมแล้วอีกขั้นหนึ่ง

#4 การซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา

คนที่ซื่อสัตย์หาได้ยากในปัจจุบัน คุณจะรู้สึกอย่างไรหากคนที่คุณรัก หรือหุ้นส่วนทางธุรกิจโกหกคุณ และมีโอกาสที่คุณจะหมดความไว้วางใจในตัวคนรัก หรือหุ้นส่วนทางธุรกิจของคุณ เช่นเดียวกันหากคุณรู้ตัวเองว่าเป็นคนที่ยังไม่ค่อยมีความซื่อสัตย์สักเท่าไหร่ ก็ให้เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แล้ว อาจจะทำไม่ได้ทุกสถานการณ์ในช่วงแรก แต่อยากให้ลองพยายาม โดยอาจจะเริ่มด้วยการท้าทายกับตัวเองไว้ว่า ฉันจะไม่โกหกอะไรเลยเป็นเวลาหนึ่งเดือน

การท้าทายกับตัวเองในลักษณะนี้ถือเป็นการเริ่มต้นฝึกความซื่อสัตย์ของตนเอง ด้วยการพัฒนานิสัยที่ดี หากคิดว่าระยะเวลาหนึ่งเดือนอาจจะยากเกินไป ก็ให้ลองเริ่มจากการพยายามซื่อสัตย์เป็นเวลาหนึ่งวันก่อน หลังจากสามารถบรรลุเป้าหมายเล็กๆ ได้แล้ว ก็ค่อยๆ เพิ่มเป้าหมายให้ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ

หากคุณต้องการเป็นคนที่ดีขึ้นทั้งในชีวิตส่วนตัว หรือในอาชีพการงาน คุณก็ควรพูดในสิ่งที่เป็นความจริง และระบุสิ่งที่คุณพยายามจะสื่อให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรียนรู้ที่จะแสดงความรู้สึกและความคิดของคุณอย่างเปิดเผยและซื่อตรง แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูสถานการณ์ด้วย ว่าเมื่อพูด หรือแสดงความเห็นนั้นออกไปแล้ว จะเกิดผลลัพธ์อะไรตามมา บางครั้งการไม่พูดออกไปก็อาจจะดีกว่าก็ได้ สิ่งสำคัญคือไม่ควรบิดเบือนความจริง

#5 การเป็นแบบอย่างที่ดี

บางครั้งคุณต้องลองเป็นแบบอย่างให้กับใครสักคน เพื่อย้ำเตือนการกระทำของตัวคุณเอง ตัวอย่างเช่น เมื่อตัวเรานั้นมีสถานะเป็นผู้ประกอบการ ทำให้มีผู้คนมากมายมองมาที่ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นคนจากภายนอก หรือลูกจ้างภายในกิจการของเราเองก็ตาม เวลาที่เราจะทำอะไร ก็จำเป็นต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นเกี่ยวกับพฤติกรรมของตัวเอง เนื่องจากว่าคุณก็คงไม่อยากทำให้คนอื่นผิดหวังด้วยการแสดงให้พวกเขาเห็นว่าคุณยังมีวุฒิภาวะที่ไม่เพียงพอ หรือเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี

ดังนั้น คุณเองก็สามารถเริ่มต้นทำบางอย่าง โดยการเป็นผู้นำที่ดีให้กับบรรดาลูกน้องของคุณ เป็นโค้ชที่คอยให้คำปรึกษากับบางคนได้ หรือเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกๆ ไม่ว่าคุณจะเลือกทำอะไรขอจงตระหนักไว้เสมอว่าจะมีคนที่มองมาที่คุณตลอดเวลา และเขาจะให้ความเคารพแก่คุณหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณทำ

#6 การรับฟังผู้อื่น

ปัจจุบันผู้คนมักจะยุ่งกับหน้าที่การงาน ครอบครัวและชีวิตของพวกเขา ทุกคนต่างเร่งรีบ และแทบจะไม่มีเวลาฟังสิ่งที่คนอื่นพูดเลย แต่เพียงแค่คุณยอมที่จะสละเวลาของคุณสักเล็กน้อย เพื่อมารับฟังบางเรื่องจากคนอื่นอย่างจริงจัง เชื่อว่าคนที่มีคุณค่อยตั้งใจรับฟังเรื่องของเขาอยู่เสมอ ก็สามารถทำให้เขารู้สึกดีได้แล้ว และมันก็เพียงพอที่เขาจะมองคุณในแง่ดีแล้ว

แต่การรับฟังผู้อื่นมันไม่ได้มีดีแค่ทำให้เราเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเพียงอย่างเดียว รู้หรือไม่ว่า การที่เรารับฟังผู้อื่น นั่นคือการที่ทำให้เราได้พบปะกับผู้คนมากมาย และอาจจะทำให้เราได้รู้จักกับคนที่พิเศษที่สุด และได้พัฒนาความสัมพันธ์ที่จะอยู่ด้วยกันกับเราไปตลอดชีวิต เพราะการเป็นผู้ฟังที่ดีนั้น สามารถเปลี่ยนชีวิตคุณไปในทางที่ดีขึ้นได้

#7 การสนับสนุนผู้อื่น

การช่วยเหลือผู้อื่นอาจดูเหมือนจะเป็นวิธีที่ชัดเจนในการเป็นคนที่ดีขึ้น หากพูดถึงคนดี เราก็มักจะนึกถึง ผู้ที่ยอมเสียสละเพื่อผู้อื่น ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติในความคิดของหลายๆ คนที่ทำให้คนๆ หนึ่งถูกเรียกว่าเป็นคนที่ดีได้ แต่อย่างไรก็ตามการทำความดีนั้น สามารถทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นได้ เพราะจะเกิดเป็นความเกี่ยวโยงระหว่างความบริสุทธิ์ใจของเราและความสุขที่จะเกิดขึ้นแก่ฝ่ายที่ได้รับการสนับสนุน

จากการวิจัยพบว่า การได้ให้อะไรบางอย่างนั้นมักจะดีกว่าการรอรับเสมอ ดังนั้นก็อาจจะมีบ้างที่คุณอาจจะรู้สึกเครียดเกินไปและยุ่งกับการที่คอยกังวลเกี่ยวกับปัญหาของตัวเอง แต่เพื่อที่จะให้ความช่วยเหลือผู้อื่น เราอาจจะต้องคอยใส่ใจคนรอบข้างให้มากขึ้น มุ่งเน้นไปที่การค้นหาความต้องการที่แท้จริงของพวกเขาให้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณสามารถที่จะคอยสนับสนุนพวกเขาได้อย่างถูกต้อง

นอกจากจะทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นแล้ว การแสดงความบริสุทธิ์ใจยังช่วยให้คุณเป็นคนที่มีความสุขและมีเมตตามากขึ้น เนื่องจากมีหลายวิธีในการแสดงความบริสุทธิ์ใจ นี่จึงเป็นวิธี ง่ายๆในการเป็นคนที่ดีขึ้น และมีให้เราทุกคนสามารถทำได้ทุกวัน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง

#8 การกล่าวชมเชยตัวเอง

ทุกเช้าก่อนที่คุณจะเริ่มทำกิจวัตรประจำวันของคุณให้ใช้เวลาสักสองสามนาที เพื่อกล่าวชมเชยตัวเอง ไม่ว่าคุณจะชมเชยเรื่อง การแต่งกาย ทรงผม หรือ การที่คุณสามารถทำงานเสร็จได้โดยใช้ทักษะพิเศษเฉพาะของคุณ ซึ่งการกล่าวชมเชยตัวเองเล็กน้อยจะทำให้คุณมีความสุขได้ และเมื่อคุณมีความสุขกับตัวเองแล้ว ความสุขที่เกิดขึ้นนั้นอาจถูกส่งต่อไปยังคนรอบข้างได้อีกด้วย

 โทนี่ ร็อบบินส์ นักพูดที่สร้างแรงบันดาลใจ เขามักจะมีมนต์ที่เขาให้ท่องดังๆ ให้ตัวเองได้ยินบ่อยๆ ในทุกๆ วัน เพื่อทำให้ตัวเขาเกิดการซึมซับและเชื่อในสิ่งที่พูดจริงๆ ส่งผลให้ตัวเขานั้นสามารถอยู่ในสถานะที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้

#9 จงสุภาพและให้เกียรติผู้อื่นเสมอ

คุณต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการพูดว่า “ขอบคุณ” หรือเปิดประตูลิฟต์ค้างไว้ให้ใครสักคน สำหรับบางคนอาจเป็นเรื่องปกติที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามอะไรมากเลย อย่างไรก็ตามการแสดงความเมตตาเหล่านี้สามารถช่วยยกระดับจิตใจของคุณให้ดีขึ้นได้ในระดับหนึ่ง

ไม่สำคัญว่าใครจะแสดงกิริยาที่หยาบคายใส่คุณ หรือไม่ให้เกียรติแค่ไหนก็ตาม เราก็ไม่ควรที่จะตอบโต้ด้วยการแสดงกิริยาเช่นเดียวกับเขา เพราะพฤติกรรมของคนอื่นไม่ได้เป็นสิ่งที่คอยกำหนดพฤติกรรมของตัวเราเอง ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็อย่าลืมที่จะเป็นคนที่สุภาพและให้เกียรติผู้อื่นเสมอ

#10 การรู้จักดูแลตัวเอง

คุณอาจไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ที่คุณเผชิญได้ทุกครั้งเสมอไป แต่คุณสามารถควบคุมได้ว่าจะดูแลตัวเองได้ดีเพียงใด ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับความเครียดของคุณและทำให้คุณเติบโตขึ้นในฐานะคนๆ หนึ่งเมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายในชีวิต

การดูแลตนเองมีความสำคัญต่อการสร้างความยืดหยุ่นเมื่อต้องเผชิญกับความเครียดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ด้วยเหตุผลหลายประการ เมื่อคุณเหนื่อยล้าและรับประทานอาหารไม่เพียงพอ โดยทั่วไปแล้ว เราอาจจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดที่ตัวเองต้องเผชิญในชีวิตมากขึ้น คุณจึงมักจะลงเอยด้วยการสร้างปัญหาให้ตัวเองมากขึ้นโดยการตอบสนองที่ไม่ดี

ในทางกลับกันหากคุณดูแลตัวเองเป็นอย่างดีทั้งร่างกายและจิตใจ คุณจะสามารถจัดการกับความเครียดต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ นั่นช่วยทำให้คุณมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการจัดการกับความท้าทายเหล่านั้นในชีวิตที่เราทุกคนต้องเผชิญ

การดูแลตนเองขั้นพื้นฐาน ได้แก่

การนอน

การนอนหลับมีความสำคัญต่อสุขภาพของคุณมาก เนื่องจากการนอนหลับที่น้อยเกินไป หรือไม่เพียงพอ อาจทำให้คุณรู้สึกเครียดมากขึ้นและไม่สามารถระดมความคิดเพื่อแก้ไขปัญหาที่คุณเผชิญ ทั้งนี้การอดหลับอดนอน อาจส่งผลเสียต่อร่างกายของคุณเช่นกันทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพอาจส่งผลต่อน้ำหนักของคุณอีกด้วย

โภชนาการ

การรับประทานอาหารที่ไม่ดีอาจทำให้คุณรู้สึกท้องอืดและเหนื่อยล้าได้ง่าย หรืออาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป คุณต้องการพลังงานที่เพียงพอในการเผชิญกับความท้าทายในชีวิต แต่เมื่อเกิดความเครียดบ่อยครั้ง เราก็มักจะโหยหาอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ

การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นสามารถช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อนที่ดีสามารถช่วยคุณในการจัดการกับอารมณ์เชิงลบ เพื่อระดมความคิดวิธีแก้ปัญหาและกำจัดปัญหาเมื่อจำเป็น บางครั้งการหาเวลาให้เพื่อน เมื่อคุณมีชีวิตที่ยุ่งและเครียดเป็นเรื่องยาก แต่เพื่อนของเรามักจะทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นด้วยการสนับสนุนและแรงบันดาลใจให้แก่เราเสมอ

การหยุดพัก

สุดท้ายนี้สิ่งสำคัญคือต้องใช้เวลากับตัวเองสักนิด ซึ่งอาจหมายถึงการจดบันทึกและการทำสมาธิ หรือ การออกกำลังกาย หรือแม้กระทั่งการดูรีรันที่บ้าน สิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นอินโทรเวิร์ท แต่ทุกคนต้องมีเวลาอยู่กับตัวเองบ้างอย่างน้อยเป็นบางครั้งก็ยังดี

เป็นเรื่องปกติที่หลายคนอาจจะจมอยู่กับความพยายามที่จะเป็นคนที่ดีที่สุด แต่การเป็นคนที่ดีขึ้นเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความรักความเมตตาเช่นเดียวกับที่คุณทำกับคนอื่น มีหลายวิธีในการเป็นคนที่ดีขึ้นและวิธีที่นำเสนอนี้เป็นเพียงไม่กี่วิธี การเป็นคนที่ดีขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่สามารถเป็นไปได้ จงเชื่อมั่นในตัวเองและอย่าหยุดที่จะพัฒนาตัวเอง เพราะคุณสามารถที่จะเป็นคนที่ดีขึ้นได้ในทุกๆ วัน

บทความล่าสุด