5 วิธีแก้ปัญหาไม่มั่นใจในหน้าตาของตัวเอง สำหรับคนทั่วไป

5 วิธีแก้ปัญหาไม่มั่นใจในหน้าตาของตัวเอง สำหรับคนทั่วไป

หลายครั้งที่บางคนมักส่องกระจกบ่อยๆ อยู่เสมอ และนั่นไม่ใช่แค่การเช็กความเรียบร้อยบนใบหน้าเท่านั้น แต่เป็นการมองหาจุดบกพร่องของตัวเองโดยไม่รู้ตัวอยู่ต่างหาก นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณเริ่มที่จะมีความไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองลดลง

ไม่มั่นใจหน้าตาตัวเองแก้อย่างไรได้บ้าง

การไม่มีความมั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเองดูผิวเผินอาจจะไม่ได้เป็นปัญหาที่ใหญ่โต แต่ถ้าปล่อยไว้นานๆ ก็ไม่ดีเหมือนกัน หากมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ก็อาจจะเข้าข่ายอาการป่วยทางจิตที่เรียกว่า Body Dysmorphic Disorder หรือโรคไม่ชอบรูปร่างหน้าตาของตัวเอง ซึ่งเป็นอาการป่วยทางจิตที่มักจะพบในผู้หญิงมากว่าผู้ชาย

จากงานวิจัยของ โดฟ ในข้อหัว “ทัศนคติและมุมมองเกี่ยวกับความสวยความงามและความมั่นใจ” ได้ข้อสรุปว่า สิ่งที่ทำลายความมั่นใจในเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของผู้หญิงมากที่สุดคือ คำวิจารณ์ของตัวเอง

อิทธิพลจากสื่อก็มีส่วนที่นำเสนอค่านิยมที่เป็นสิ่งตอกย้ำว่า คนเราไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จะต้องหน้าตาดี สวยหล่อ ถึงจะประสบความสำเร็จในความรัก หน้าที่การงาน และเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม ยิ่งทำให้คนที่มีพื้นฐานจิตใจที่ไม่เข้มแข็งพอที่จะต่อต้านค่านิยมในสังคมที่บีบให้เราโหยหาความสมบูรณ์แบบ จนทำให้บางคนไม่มีความมั่นใจในความเป็นตัวเองหลงเหลืออยู่เลย

มาถึงตรงนี้ก็คงจะเข้าใจถึงปัญหาที่อาจจะสามารถเกิดขึ้นตามมาได้อีกในภายหลัง บางคนก็อาจกำลังคิดว่า ใช้เงินแก้ปัญหาไปเลยดีไหม พึ่งมีดหมอโดยการศัลยกรรมให้จบๆ ไป

ความคิดแบบนี้ก็ไม่ผิด เพราะมันเป็นร่างกายของคุณและเงินของคุณ แต่อยากให้คุณลองคิดทบทวนและไตร่ตรองให้ดีๆ อีกครั้ง เพราะถ้าทำไปแล้วไม่ได้อย่างที่หวัง ก็อาจต้องเสียเงินแก้ไขอีกหลายครั้งเลยก็ได้ และคนที่เคยทำศัลยกรรมไปครั้งนึงแล้ว ก็มีแนวโน้มที่จะเสพติดการศัลยกรรมได้อีกด้วย

ดังนั้น อย่ารีบใจร้อนไป ลองอ่านบทความนี้ให้จบแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย คุณเคยได้ยินวลีนี้ไหม “แค่เปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยน” อย่าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับรู้สึกแบบนี้เลย จะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถมีความมั่นใจได้โดยไม่ต้องมากังวลเรื่องรูปร่างหน้าตาของตัวเอง ลองมาดู 5 วิธีแก้ปํญหาการไม่มั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเองกันดีว่า

5 วิธีแก้ปัญหาไม่มั่นใจในหน้าตาของตัวเอง

#1 ต้องสลัดความคิดแง่ลบของตัวเองทิ้งไปให้ได้

โดยทั่วไปสมองของคนเรามักจะโฟกัสไปที่ประสบการณ์ที่ไม่ดีก่อนเสมอ ด้วยเหตุนี้ เราจึงมักจะมีแนวโน้มที่จะหลงเชื่อคำพูดหรือเสียงในหัวของตัวเองที่บอกว่า “ฉันยังสวยไม่พอ” หรือ “ทำไมหน้าตาฉันถึงไม่หล่อแบบดารานั้น” และเราก็ดันเชื่อว่าเสียงที่บอกเราในหัวนั้น หลงคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง

ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว คนทั่วไปก็ไม่ได้มองว่าเรานั้นหน้าตาไม่สวยไม่หล่อหรือมีข้อบกพร่องเหมือนที่เราคิดไปเอง แต่กลับมีแค่ตัวเราคนเดียวที่เชื่อสมองของตัวเองที่กำลังมองข้ามสิ่งดีๆ ต่างๆ มากมายของตัวเอง เพียงเพราะว่ากำลังพุ่งเป้าโฟกัสไปที่สิ่งไม่ดีบางอย่าง ซึ่งไม่มีใครสังเกตเห็นหรือให้ความสนใจกับมันด้วยซ้ำ

ดังนั้น ขั้นแรกเราควรจะสลัดความคิดแง่ลบในหัวเราทั้งหมดออกไปให้ได้ก่อน แล้วเราจะไม่จมอยู่กับมัน รู้สึกแย่ๆ นั้นก็จะค่อยๆ ลดลงเอง เมื่อเราคิดได้ ก็จะเข้าใจได้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่นั้นมาจากความคิดของตนเองทั้งนั้น

#2 จงเลิกฟังเสียงคนรอบข้าง และอยู่ให้ห่างจากคนที่ทำให้คุณมองตัวเองในแง่ลบ

วิธีนี้ก็คล้ายกับวิธีแรก แตกต่างกันแค่แหล่งที่มาของสาเหตุเท่านั้น นอกจากจะเลิกฟังเสียงในหัวของตัวเองที่คอยบั่นทอนแล้ว ก็ควรเลิกฟังเสียงของคนรอบข้างที่ทำให้คุณมองตัวเองในแง่ลบด้วยเช่นกัน ซึ่งหลายครั้งที่ความมั่นใจในรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองนั้นมักจะถูกทำลายด้วยคำวิจารณ์ของคนอื่นๆ ทั้งที่เจตนาหรือไม่ก็ตาม ก็สามารถทำลายหรือบั่นทอนความมั่นใจของตัวเองได้ทั้งนั้น

บางครั้งคำวิจารณ์แย่ๆ เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของคุณ ที่ออกมาจากปากของคนเหล่านั้น ส่วนใหญ่ถ้าไม่มาจากความอิจฉาริษยา ก็อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายเองก็ไม่มีความมั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเองเช่นกัน และคำวิจารณ์ในลักษณะนั้นจึงแสดงถึงสิ่งที่อีกฝ่ายรู้สึกเกี่ยวกับตัวเองมากกว่าจะเป็นความรู้สึกที่พวกเขามีต่อคุณ

ดังนั้น เราจึงไม่ควรไปใส่ใจกับคำวิจารณ์ที่ไม่สร้างสรรค์และไม่ได้สาระอะไรจากพวกคนเหล่านี้เลย และการหลีกเลี่ยงไม่ไปข้องเกี่ยวกับคนเหล่านี้ก็เป็นวิธีที่ดีกว่าการปะทะคารมณ์กันซึ่งหน้า ซึ่งอาจก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท นำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิม

#3 จงเห็นคุณค่าของตัวเองและรู้จักรักตัวเองให้เป็น

การที่เราวิจารณ์ตัวเองในทางที่ไม่ดี คอยหาแต่ข้อด้อยข้อเสีย หรือข้อบกพร่องของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ก็มีแต่จะทำให้ตัวเองเห็นคุณค่าในตัวเองน้อยลง และนอกจากนี้การวิจารณ์ข้อบกพร่องของตัวเองยังอาจจะทำให้คุณเกิดภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้าได้ เพราะฉะนั้นเราควรจะต้องเรียนรู้การรู้จักรักตัวเองให้เป็น

เริ่มต้นง่ายๆ โดยคุณต้องใจดีกับตัวเองให้มากกว่านี้ ยอมรับและคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่ามาตรฐานที่บ่งบอกว่าแบบไหนถึงเรียกว่า ความสมบูรณ์แบบ มันไม่มีอยู่จริง และความไม่สมบูรณ์แบบนั้นก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน

ดังนั้น คุณจึงไม่ควรใจร้ายกับตนเอง และควรที่จะรู้จักเห็นคุณค่าในตัวเองมากกว่านี้ เริ่มจากการมองหาข้อดีในตัวเองแทนที่การมองหาข้อเสียของตัวเอง พร้อมกับยอมรับและทำความเข้าใจในส่วนที่เราคิดว่าเป็นจุดด้อยของตัวเอง แล้วค่อยๆ พัฒนาสิ่งต่างๆ เหล่านั้นจนมันกลายมาเป็นจุดแข็งของเราได้ในที่สุด

ซึ่งการที่เราเห็นคุณค่าของตัวเองและรู้จักการรักตัวเองให้เป็น ก็จะทำให้เราสามารถที่จะเพิ่มความมั่นใจให้มากยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องรูปร่างหน้าตา แถมยังมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครในแบบของตัวเองอีกด้วย

#4 การสร้างคำนิยามของความงามในแบบของตัวเอง

ในหลายๆ ประเทศต่างวัฒนธรรม ส่วนใหญ่ก็มักจะให้นิยามของความงามเอาไว้ค่อนข้างแคบเหลือเกิน บ่อยครั้งที่เรามักได้ยินคนบอกว่าคนหล่อคนสวย คนที่หน้าตาดี จะต้องมีหน้าตาแบบนี้หรือแบบนั้น แต่นั่นมันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องยอมรับให้กับนิยามของความงามที่ถูกกำหนดด้วยทัศนคติแคบๆ ไว้แค่นั้น

ความงามนั้นเป็นเรื่องของมุมมองของแต่ละคน ซึ่งทุกคนก็มีนิยามของความงามในมุมมองของตัวเอง และไม่มีกฎเกณฑ์หรือมาตราฐานสากลอะไรที่มากำหนดไว้อย่างตายตัวว่าทุกคนจะต้องยอมรับนิยามของความงามในแบบเดียวกันทั้งหมด

เพราะฉะนั้นจงกล้าที่จะก้าวออกมาจากแรงกดดันทางสังคมที่จะคอยบีบให้คุณต้องมีนิยามของความงามในแบบอุดมคติที่สังคมอยากให้เป็น และจงกล้าที่จะสร้างนิยามของความงามในแบบของตัวเอง คุณก็จะมีความมั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเองมากขึ้น และมีความสุขที่ได้เป็นตัวของตัวเอง

#5 การเลิกให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกมากจนเกินไป

จริงอยู่ที่การให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะเป็นการสร้างความประทับใจแรกแก่บุคคลภายนอกหรือคู่สนทนา รวมถึงบ่งบอกบุคลิกภาพภายนอกของตัวเองด้วย

ซึ่งการเลิกให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าให้คุณเลิกดูแลเอาใจใส่ในบุคลิกภาพของตัวเอง แต่เป็นการที่ทำให้เรารู้จักการปล่อยวางกับบางอย่างที่มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้หรือบางสิ่งที่เราไม่ควรจะต้องไปใส่ใจด้วยซ้ำ

สมมติว่าคุณเกิดมีความรู้สึกไม่มั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตนเอง อย่างน้อยเบื้องต้นการแปลงโฉมตัวเองด้วยการแต่งหน้า จัดแต่งทรงผม หรือการเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะกับตัวเอง ก็ดูจะเพียงพอแล้ว นอกเหนือจากนี้อยากให้คุณปล่อยวางและโฟกัสไปที่เรื่องอื่นแทน

ซึ่งคุณอาจมีข้อดีหลายอย่างที่ตัวคุณเองอาจคาดไม่ถึงก็เป็นได้ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถพิเศษของตัวเองที่คนอื่นไม่มี หรือหน้าที่การงานของตัวเองที่ประสบความสำเร็จกว่าใครหลายๆ คน ก็จะทำให้เรามีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องมานั่งกังวลเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของตัวเองที่อยากจะมีความสมบูรณ์แบบตามค่านิยมของสังคม

ยกตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกอย่างสตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัท Apple รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้หล่อเหลาแบบดาราฮอลลีวู้ด หรือแม้แต่นักวิทยาศาสตร์อย่างสตีเฟน ฮอว์กิง ที่เกิดมาพร้อมกับร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ แต่ด้วยความสามารถของพวกเขาเหล่านี้ก็ทำให้สามารถประสบความสำเร็จได้ในระดับที่คนทั้งโลกให้การยอมรับ และมองข้ามรูปลักษณ์ภายนอกไปเลย

เห็นไหมว่าการที่เราให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกมากเกินไป มีแต่จะทำให้เกิดความกังวล ขาดความมั่นใจ ทั้งยังทำให้เสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์อีกด้วย ดังนั้นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญไม่ได้มีแค่รูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ที่สามารถนำมาเป็นจุดเด่น เพื่อทำให้เราเป็นคนที่มีความมั่นใจและสามารถประสบความสำเร็จได้ในแบบของตัวเอง

ไม่แปลกที่เรามักจะนำคุณค่าหรือความภาคภูมิใจของตัวเองมาผูกไว้กับความงามจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่ท้ายที่สุดมันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ซึ่งแตกต่างกัน รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าคุณเป็นดีหรือไม่ แต่มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณคิดกับสิ่งที่คุณทำต่างหาก ซึ่งพอคิดดูดีๆ แล้วมันก็ไม่ได้เป็นสาระสำคัญของชีวิตเลย

เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยให้ความรู้สึกอคติที่มีต่อตัวเองมาทำให้คุณต้องทุกข์ใจไปมากกว่านี้เลย จงมีความสุขกับการที่เป็นตัวเองดีที่สุด เพราะทุกคนล้วนมีคุณค่าที่ซ่อนอยู่ภายใน ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกจะมองหาและยอมรับมันได้หรือไม่

ดีไม่ดีสิ่งที่คุณไม่ชอบหรือไม่มั่นใจบนใบหน้าของคุณ อาจจะเป็นสิ่งที่คนอื่นอยากจะมีบ้างก็เป็นได้ อ่านมาจนถึงตอนนี้คุณเริ่มที่จะมีความรู้สึกภูมิใจกับรูปร่างหน้าตาที่มีแค่คุณเท่านั้นที่มีบ้างแล้วหรือยัง แต่ผมก็ยังเชื่อว่าจะทำให้ทุกคนมีทัศนคติต่อตัวเองที่เปิดกว้างมากขึ้น และมีความมั่นใจในการเป็นตัวของตัวเองไม่มากก็น้อย

บทความล่าสุด