7 วิธีจัดการความเครียด (สำหรับคนงานยุ่ง ภาระเยอะ)

7 วิธีจัดการความเครียด (สำหรับคนงานยุ่ง ภาระเยอะ)

ความเครียดเป็นปัญหาที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ยิ่งเราเติบโต ภาระหน้าที่ของเราก็มากขึ้น ยิ่งเป็นการเพิ่มความเครียด เพิ่มอาการซึมเศร้ามากยิ่งขึ้น

ผลสำรวจจากกรมสุขภาพจิต ภาระหน้าที่ต่างๆถึงแม้ภายนอกจะดูเล็กน้อย แต่ถ้าสะสมอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้เกิดความเครียดได้ ถ้าย้อนกลับไปความเครียดเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งสภาพการใช้ชีวิตในเมืองที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ สภาพการเดินทาง การแข่งขันในการทำงาน สิ่งแวดล้อม รวมไปถึงสภาพเศรษฐกิจ

7 วิธีจัดการความเครียด

ความเครียด (Stress) เป็นอาการหดตัวของกล้ามเนื้อในร่างกาย ที่เกิดพร้อมกับความคิดและภาวะอารมณ์บางอย่าง ที่ล้วนทำให้เกิดความเครียดโดยไม่รู้ตัว

ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง ปัญหาสังคม ก็ยิ่งมีแต่จะทำให้ความเครียดเพิ่มขึ้น โดยคนที่มีช่วงอายุ 25 – 34 ปี จะเป็นช่วงอายุที่เกิดความเครียดได้มากที่สุด และเกิดอัตราการฆ่าตัวตายมากที่สุดถึง 4,000 รายต่อปี

หากเรารู้วิธีจัดการที่ดีก็จะช่วยให้เรารับมือกับความเครียดได้มากขึ้น มาดู 7 วิธีจัดการความเครียดง่าย ๆ ว่ามีวิธีไหนบ้าง

1. ออกกำลังกายผ่อนคลาย

เริ่มกันที่วิธีแก้เครียด ที่ได้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมกันก่อนเลย เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) หรือสารแห่งความสุขออกมา สารเอ็นดอร์ฟินนั้น ว่ากันว่าเปรียบเหมือนมอร์ฟีนจากธรรมชาติ ที่ร่างกายหลั่งออกมาเมื่อเกิดความพึงพอใจ ผ่อนคลาย จะช่วยกระตุ้นความรู้สึกในแง่บวก เพราะคนเราเมื่ออยู่กับความเครียดมาก ๆ ฮอร์โมนชนิดนี้ก็จะลดลง

ซึ่งวิธีนี้ก็ไม่ได้ยากอะไร ไม่จำเป็นต้องเป็นการออกกำลังกายหนัก ๆ ก็ได้ แค่ลุกจากโต๊ะทำงานไปยืนยืดเส้นยืดสาย ขยับแข้งขยับขา หรือเดินไปห้องอื่น ๆ แล้วเดินกลับมาก็ได้ เพื่อเปลี่ยนโฟกัสความเครียดของเรา ไปที่การออกกำลังกายแทน ส่วนถ้ามีเวลาพอที่จะออกกำลังกายแบบจริงจัง ก็ยิ่งจะเป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกาย ถึงแม้การออกกำลังกาย จะไม่สามารถแก้ความเครียดได้แบบทันทีทันใด แต่ก็รับรองว่าจะช่วยให้ความเครียดลดลงอย่างแน่นอน

2. ทำกิจกรรมที่ชอบ

วิธีจัดการกับความเครียดที่ดีที่สุดคือ ปล่อยวาง หากเป็นความเครียดจากการทำงาน ก็พยายามวางปัญหาทุกอย่างไว้บนโต๊ะทำงาน ไม่ต้องใส่กระเป๋าเอากลับมาที่บ้าน Work Life Balance ให้ได้ หลายคนอาจจะบอกว่าฟังดูเหมือนง่าย แต่จะทำจริงได้ยังไง บอกเลยว่าวิธีนี้ เป็นเพียงแค่การพักปัญหาเอาไว้ก่อน แล้วออกไปหาความสุขจากการทำอะไรก็ได้ในสิ่งที่รัก ทำกิจกรรมอะไรก็ได้ที่ชอบแทน ดีกว่าปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งอยู่กับความเครียดเดิม ๆ จนอาจกลายเป็นภาวะเครียดสะสมได้

เพราะหากเครียดมาก ๆ ภูมิคุ้มกันในร่างกายจะลดลง จนกลายเป็นปัญหาอื่นที่ตามมา ดังนั้นอย่าชะล่าใจเมื่อเกิดความเครียดขึ้นมา รีบหากิจกรรมที่ชอบทำก่อนเลย เพื่อเป็นการผ่อนคลาย ให้สมอง ให้หัวใจได้พักผ่อน เช่น หาหนังเรื่องโปรดมาดูใหม่ เลือกแบบหนังโรแมนติกเบาสมอง หรือฟังเพลงเพราะ ๆ ปลูกต้นไม้สวย ๆ ให้สีเขียวจากธรรมชาติช่วยบำบัดจิตใจ ฯลฯ รับรองเลยว่า หากเราได้มีสมาธิอยู่กับกิจกรรม จะเป็นวิธีลดระดับความเครียดอย่างเห็นผลชัดเจน

3. ใช้อาหารบำบัด

วิธีจัดการความเครียดอีก 1 วิธีที่ง่ายมาก ๆ ด้วยการทำสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน นั่นก็คือการคลายเครียดด้วยการกิน แต่ไม่ได้หมายถึงว่ากินอะไรก็ได้ หรือกินทุกอย่างที่ขวางหน้านะ แต่หมายถึงการเลือกกินอาหาร ที่ช่วยให้อารมณ์ดีหายเครียด ที่เรียกกันว่า Food For Relaxation เพราะอาหารที่เราจะแนะนำนั้น มีส่วนช่วยให้อารมณ์ดี และมีงานวิจัยจากทั่วโลกรับรองว่า การกินอาหารสัมพันธ์กับอารมณ์มนุษย์ อีกทั้งอาหารยังมีผลดีต่อสุขภาพ

โดยเฉพาะบางคน เมื่อตกอยู่ในสภาวะความเครียด อาจหิวและกินอาหารมากกว่าปกติ แต่นั่นไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง หากไม่รู้จักอาหารที่สัมพันธ์กับอารมณ์ นอกจากโรคเครียดไม่หายแล้ว อาจมีโรคอ้วนเพิ่มซะอีก การกินอาหารแก้เครียดนั้น ควรเลือกอาหารที่มีวิตามินซี กรดไขมันโอเมก้า-3 หรือวิตามินบี ที่ได้จากเนื้อสัตว์ต่าง ๆ เช่น ปลา ธัญพืชจากธรรมชาติ ไข่ พืชตระกูลถั่ว และผักใบเขียวชนิดต่าง ๆ เพราะวิตามินบีจะช่วยรักษาพลังงานที่สูญเสียไปจากการเครียด ช่วยฟื้นฟูสมองให้ทำงาน สามารถคิดแก้ปัญหาได้ดีขึ้นนั่นเอง

4. ปรับมุมมอง เปลี่ยนบรรยากาศ

อีกสาเหตุที่เป็นตัวสะสมความเครียดคือ ความจำเจ ซ้ำซาก การเห็นอะไรเดิม ๆ บรรยากาศแวดล้อมเดิม ๆ หรืออยู่ในพื้นที่จำกัด เช่น อยู่ในห้องทำงานสี่เหลี่ยม เจอคนซ้ำหน้า ทำกิจกรรมเดิม ๆ อีกหนึ่งวิธีที่จะจัดการกับความเครียดอย่างเห็นผลก็คือ การเปลี่ยนบรรยากาศรอบตัว เพื่อสร้างความผ่อนคลายให้กับจิตใจ การออกเดินทางไปยังสถานที่ใหม่ ๆ หรือการออกไปมองโลกกว้าง ๆ ให้สุดสายตานั้น รับรองว่าจะช่วยลดความเครียดได้อย่างแน่นอน

แต่ในสถานการณ์อย่างทุกวันนี้ การเดินทางไปไหนมาไหน อาจจะเป็นเรื่องยากลำบาก เราก็สามารถใช้วิธีเปลี่ยนบรรยากาศดี ๆ โดยไม่ต้องเดินทางก็ได้ เช่น สร้างบรรยากาศในห้องทำงานขึ้นมาใหม่ เปลี่ยนแสงไฟ จัดมุมทำงานใหม่เพื่อไม่ให้จำเจ เปลี่ยนอารมณ์ของห้องใหม่ เช่น เพิ่มกลิ่นหอมของธรรมชาติ บำบัดด้วยน้ำหอมอโรมา เปิดเพลงคลอเบา ๆ หรือหาเครื่องชงกาแฟเล็ก ๆ มาไว้ในห้อง เพราะกลิ่นกาแฟหอม ๆ ช่วยลดความเครียด กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี

5. พยายามคิดบวกเข้าไว้

ความเครียดส่วนใหญ่นั้น เกิดจากการที่เราจมอยู่กับเรื่องเดิมซ้ำ ๆ หรือจมอยู่กับความคิดบางด้านมากเกินไป จนทำให้เกิดอาการเครียด วิตกกังวลโดยไม่รู้ตัว งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์บอกว่า ความคิดของคนเรานั้นสัมพันธ์กับสมองและร่างกาย ดังนั้น การปล่อยให้ความคิดด้านลบมาครอบงำเรามาก ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ ไม่ว่าจะเป็นความคิดเรื่องงาน เพื่อนร่วมงาน สุขภาพ หรือเศรษฐกิจ ฯลฯ ที่ล้วนแต่คอยบั่นทอนจิตใจ

และบางครั้งการเอาตัวเองถอยออกมาจากปัญหาเพียงชั่วขณะ แล้วเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ก็เป็นวิธีจัดการความเครียดที่ได้ผลดีมาก ๆ เช่นกัน จงเชื่อมั่นว่าทุกปัญหามีทางแก้ เปลี่ยนวิธีคิดเป็น Positive Thinking คิดเชิงบวกเข้าไว้ พยายามมองหามุมดี ๆ ที่ซ่อนอยู่ในปัญหานั้น ๆ ให้เจอ การมองข้ามเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อลดความกดดันตัวเอง อาจทำให้เราเข้าใจอะไร ๆ ได้ง่ายขึ้น และช่วยให้เราหายเครียดได้เป็นอย่างดี

6. นั่งสมาธิ ฝึกลมหายใจ

เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกเครียด จะคล้าย ๆ กับความคิดหลาย ๆ เรื่อง มันจะมาวนเวียนอยู่ในสมองตลอดเวลา ทำให้เราต้องคิดซ้ำ ๆ ย้ำคิดย้ำทำอยู่แค่บางเรื่อง สลัดภาพไม่หลุด จนถูกความเครียดสะกดไว้ไม่ให้ทำอย่างอื่นเลย การฝึกทำสมาธิก็เป็นอีกวิธี ที่สามารถจัดการกับความเครียดแบบนี้ได้ดีเช่นกัน เป็นการดึงตัวเองออกมา แล้วเอาใจไปจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อให้หยุดคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ที่วกวนอยู่ในหัวของเรานั่นเอง

ในทางการบำบัดถือว่า การทำสมาธิเป็นวิธีจัดการความเครียดที่ลึกซึ้งที่สุด เป็นการจัดการแบบเรียบง่าย ทำที่ไหนหรือตอนไหนก็ได้ ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ หลักใหญ่ของการทำสมาธิคือ การนับลมหายใจของตัวเอง เพื่อยุติความคิดเรื่องอื่น ๆ เพื่อช่วยให้จิตใจสงบ จากความฟุ้งซ่าน ความกังวล ซึ่งเป็นผลข้างเคียงมาจากความเครียด ดังนั้น ลองหาเวลาทำสมาธิ ลองกำหนดการหายใจเข้า – ออก ช้า ๆ โฟกัสการกำหนดลมหายใจ จะทำให้เราลืมความเครียดไปได้

7. กอดแก้เครียด

ใครจะรู้ว่าการกอดกัน ไม่ใช่แค่เป็นการแสดงความรักเท่านั้น แต่การกอดเป็นวิธีจัดการความเครียด ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า อย่างได้ผลดีมาก ๆ ปกติเวลาเราถูกกอด หรือได้โอบกอดใคร ก็จะรับรู้ได้ถึงความรักความอบอุ่น แต่จริง ๆ แล้วเมื่อกอดกัน ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนออกซิโตซิน (Oxytocin) ที่เป็นสารช่วยลดความเครียด สร้างความสุข และต้านความซึมเศร้า จากผลการวิจัยบอกว่า ยิ่งกอดนานเกิน 20 วินาที ร่างกายก็จะยิ่งหลั่งสารออกซิโตซินออกมาสูงมากอีกด้วย

ดังนั้น การกอดจึงเป็นการเยียวยาความเครียดด้วยความรักแบบง่าย ๆ แต่วิธีการกอดก็มีด้วยกันหลายแบบ การกอดแต่ละแบบจะสร้างความรู้สึกดี ๆ ที่แตกต่างกัน เช่น การกอดแบบ The Eye to Eye หรือการกอดแบบตามองตา จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และมั่นคง การกอดแบบ The Reach Around หรือการกอดแบบโอบไหล่ รวมทั้งการกอดแบบ Butterfly Hug (Eye Movement Desensitization and Reprocessing) หรืออ้อมกอดผีเสื้อที่เป็นเทคนิค EMDR ที่นักบำบัดใช้ เพื่อบำบัดจิตใจของผู้ป่วยให้มีความสงบ ลดความเครียดและความวิตกกังวล

วิธีจัดการความเครียดนั้นมีมากมายหลายวิธี ขึ้นอยู่กับว่าเราจะปรับใช้ยังไงให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การดำเนินชีวิตของเรา สิ่งสำคัญคือการยอมรับและหยุดกดดันตัวเอง การใช้ยาคลายเครียดไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหา เป็นเพียงการแก้ที่ปลายเหตุ และมีความเสี่ยงที่จะส่งผลเสียต่อร่างกาย ลองทำตาม 7 วิธีจัดการความเครียดของเรา แล้วค่อย ๆ ปรับไปทีละข้อ รับรองว่าจะกำจัดความเครียดได้อย่างแน่นอน ที่สำคัญต้องไม่ลืมใส่ใจดูแลสุขภาพตัวเอง กินอาหารให้อิ่ม พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ก็จะเป็นวิธีกำจัดความเครียดได้ด้วยเช่นกัน

บทความล่าสุด