บางคนมีทุกอย่างแต่ก็ไม่มีความสุข
ผมหมายถึงมีทุกอย่างจริงๆ มีเยอะจนรู้สึกผิดด้วยซ้ำ มีเยอะจนไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่มีความสุข
มีร่างกายที่แข็งแรงสามารถวิ่งมาราธอนได้สบาย มีเงินมากพอที่จะผ่อนบ้านผ่อนรถ และมีคนรอบกายที่รักและเป็นห่วงเราจริงๆ
แต่ก็ยังไม่มีความสุข จนถึงต้องถามตัวเองว่า เรามีสิทธิที่จะไม่มีความสุขด้วยเหรอ
ทำไมเรามีทุกอย่างแล้วถึงไม่มีความสุข
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะเศร้าทั้งๆที่มีทุกอย่างแล้ว เพราะความเศร้าเป็นความรู้สึกพื้นฐานที่ทุกคนต้องมี แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าความสุขก็เป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้เช่นกัน เราสามารถหาความสุขได้จากการทำความเข้าใจตัวเอง การเริ่มหาสิ่งที่มันขาดหาย และการให้โอกาสตัวเองที่จะลองอะไรใหม่ๆ
มีคนพูดไว้ว่า ‘ความเศร้าไม่เคยกีดกันใครทั้งนั้น’
ไม่ว่าเราจะมีทุกอย่าง หรือไม่มีอะไรเลย ทุกคนก็สามารถรู้สึกไม่มีความสุขได้ บางคนก็อาจจะซึมเศร้า
ปัญหาก็คือเราไม่รู้ว่าความว่างเปล่าในชีวิตที่สมบูรณ์แบบของเรามันมาจากไหน
ซึ่งนักจิตแพทย์บอกว่ามันเป็นเพราะ คุณไม่ได้เข้าถึง ‘จิตวิญญาณ’ ของตัวเอง (หรือจิตใต้สำนึก)
และนี่ไม่ใช่คำอธิบายในเชิง ศาสนา หรือแม้แต่จิตวิทยานะครับ…มันคือคำตอบทางวิทยาศาสตร์
มีงานวิจัยหลายที่บอกไว้ว่า ‘การเข้าถึงจิตวิญญาณ’ จะทำให้เรามีสุขภาพจิต อารมณ์ และร่างกายที่แข็งแรงขึ้น (ใช่ครับ อารมณ์เราก็ ‘แข็งแรง’ ได้)
แต่จิตวิญญาณมันคืออะไรกัน
จิตวิญญาณคือสิ่งที่เราเชื่อหรือยึดถืออยู่ และเป็นสิ่งที่ทำให้จิตกับร่างกายของเราเชื่อมหากัน
การที่เรา ‘ไม่ได้เชื่อมกับจิตวิญญาณ’ พูดง่ายๆก็คือเราไม่มีความเชื่อ ไม่มีอะไรที่เรายึดถืออยู่เลย แน่นอนว่าเราต้องรู้สึกว่างเปล่าแน่นอน
แต่วิธีเข้าถึงความสุขคืออะไรกัน เราจะเชื่อมกับจิตวิญญาณได้อย่างไร
3 วิธีเชื่อมกับจิตวิญญาณเพื่อหาความสุข
#1 ถามตัวเองว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้คุณมีความสุข…จริงๆ
คนส่วนมากรู้ว่าอะไรทำให้ไม่มีความสุข
อาจจะเป็นเรื่องงาน เรื่องครอบครัว หรือภาระที่ตัวเองแบบไว้ รู้เหตุผลทุกอย่างว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ชีวิตมาถึงช่วงที่มีความทุกข์
แต่ต่อให้คุณตัดความทุกข์ออกไปได้ ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะมีความสุข
เพราะฉะนั้นคำถามที่สำคัญ ที่ทุกคนชอบลืมคิดถึงกันก็คือ…อะไรทำให้คุณมีความสุข
ถ้าคุณสามารถอธิบายมันออกมาได้ เขียนมันออกมาเป็นคำ หรือเป็นประโยคเลยได้ยิ่งดี
เพียงแค่นี้คุณก็จะเข้าใจแล้วว่าคุณควรยึดถืออะไร ควรเชื่อในอะไร
แต่คุณจะทำยังไงถ้าการวิ่งไล่ ‘ความสุข’ มันกระทบส่วนอื่นในชีวิตของคุณ
#2 การเริ่มหาสิ่งที่คุณขาด…และทำให้มันเป็นจริง
ถ้าคุณรู้แล้วว่าคุณขาดอะไรแล้วสามารถทำหาเจอหรือทำให้มันเป็นจริงได้ทันที ก็ถือว่าคุณโชคดีมากครับ
แต่คนส่วนมากอาจจะทำไม่ได้
หากวันหนึ่งคุณค้นพบแล้วว่าอยากเปิดร้านกาแฟเป็นของตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถลาออกจากงานประจำได้เพราะต้องดูแลครอบครัว… คุณจะทำยังไง
แน่นอนว่าแค่คุณรู้ว่าอยากทำอะไร ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากแล้ว (อย่างน้อยคุณก็จะไม่รู้สึก ‘ว่างเปล่า’ มากเท่าก่อน)
ถ้าคุณอายุ 25,35, หรือ 45 แล้วค้นพบว่าคุณต้องการอะไรในชีวิต ผมก็คิดว่าคุณได้ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตมากแล้วครับ คนบางคนอายุ 50,60 ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองอยากทำอะไรกันแน่
ขั้นตอนต่อไปก็คือการพยายาม ‘เดินเข้าใกล้เป้าหมาย’ ของเราทีละนิด เราอาจจะแบ่งเวลาอาทิตย์ละไม่กี่นาทีเพื่อลองทำอะไรที่เราชอบดู
ผมเรียกวิธีนี้ว่า ‘การชิมความฝัน’
เราอาจจะไม่โชคดีขนาดที่จะได้ ‘กินมื้อใหญ่’ ในช่วงแรก แต่อย่างน้อยเราก็ได้ลองทำและพิสูจน์แล้วว่าเราชอบมันจริงๆ
ให้คุณเริ่มแบ่งเวลาเพื่อให้โอกาสตัวเองได้ลองอะไรใหม่ เด็กทุกคนเริ่มเดินจากการคลานครับ
#3 ให้โอกาสตัวเอง
จิตวิญญาณมาจากความเชื่อ และความเชื่อก็คือมุมมองของเราเอง
หากเราสามารถมองให้ ‘ความบังเอิญ’ ต่างๆในแต่ละวันเป็นเรื่องบวก เราก็จะสนุกกับโอกาสที่เราได้รับทุกวัน
ใช่ครับ มันคือการมองโลกในแง่ดีนั่นเอง
ผมเคยอ่านว่าวิธีที่จะทำให้เรามองโลกในแง่ดีได้เร็วที่สุด ก็คือการทำให้ตัวเองเชื่อว่า ‘จักรวาลนี้กำลังทำทุกอย่างเพื่อให้เรามีความสุข’ หากคุณสามารถเอาตัวเองออกจากสิ่งรบกวนต่างๆ จิตของคุณก็จะมีพื้นที่มองหาโอกาสได้มากขึ้นครับ ผมไม่ได้หมายความว่าคุณต้องทิ้งปัญหา หรือละเลยหน้าที่นะ แค่พยายามอย่าให้ปัญหามารบกวนจิตใจหรืออารมณ์ของคุณก็พอ
ถ้าจิตทำให้คุณไม่มีความสุข ทั้งๆที่คุณก็ไม่ได้ทุกข์ได้ ก็เท่ากับว่าความสุขและความทุกข์ไม่ได้เป็นสิ่งตรงข้ามของกัน คนบางคนสามารถมีความสุขและมีความทุกข์พร้อมกันได้ คนบางคนไม่มีความสุขแต่ก็ไม่มีทุกข์ได้ คนบางคนก็สามารถมีความสุขและไม่มีความทุกข์ได้เช่นกันครับ ทุกอย่างคือมุมมองที่เราต้องฝึก
บทสรุปของการมีทุกอย่างและการหาความสุข
ผมคิดว่า ‘ทุกอย่าง’ ที่เรามีกันมันอาจจะช่วยให้เราไม่ทุกข์
เช่นมีร่างกายที่แข็งแรงเลยไม่ต้องเจ็บปวดเพราะโรค มีบ้านเลยไม่ต้องเครียดเรื่องที่อยู่อาศัย มีเงินเลยไม่ต้องกลัวเรื่องอนาคตเป็นต้น
แต่ความทุกข์กับความสุขมันไม่ใช่อารมณ์ตรงข้ามของกันและกัน มันสามารถเกิดพร้อมกัน หรือไม่เกิดเลยทั้งสองอย่างก็ได้
ผมคิดว่าความสุขหาได้จากการเข้าใจตัวเองว่า ‘สิ่งที่ขาด’ คืออะไร และการพยายามเติมเต็มช่องว่างนั้นด้วยสิ่งที่มีค่าสำหรับเราจริงๆ แน่นอนว่ามันก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ทันที การหาความสุขต้องใช้เวลา เราอาจจะต้องใช้เวลาในการเข้าใจตัวเองส่วนหนึ่ง และใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเลยเพื่อทำให้สิ่งที่เราตามหาเป็นจริง
หรือความสุขอาจจะหาได้ง่ายๆจากการเริ่มปล่อยอะไรที่ไม่ได้จำเป็นสำหรับเรา เช่นการบริจาคเงินให้คนยากจน หรือการให้อาหารสุนัขจรจัดก็ได้ บางคนเรียกสิ่งที่ว่าการ ‘เติมเต็มจิตใจ’
มันเป็นเรื่องแปลกในชีวิตที่ ‘สิ่งที่ช่วยไม่ให้เรามีความทุกข์’ (ทรัพย์สิน เงินทอง สุขภาพ เวลา) คือสิ่งที่เราสามารถปล่อยวางเพื่อหาความสุขได้เช่นกัน (การให้ การเสียสละ การช่วยผู้อื่น) เพราะฉะนั้นจำไว้ว่าทุกอย่างในชีวิตคือความพอดีครับ
‘ทุกอย่างที่เรามี’ อาจจะไม่ใช่ ‘ทุกอย่างที่เราอยากได้’
บทความล่าสุด
การจัดโต๊ะคอมให้สวยถูกใจ พร้อมฟังก์ชันการใช้งานครบครัน...
ในมุมมองหนึ่ง ‘ลูกคนกลาง’ ดูเหมือนจะต้องแบกรับภาระทางใจอันหนักอึ้ง...