15 วิธีเลิกเป็นคนขี้เกียจ หมดปัญหาชีวิตล้มเหลว ไม่ไปไหน

15 วิธีเลิกเป็นคนขี้เกียจ หมดปัญหาชีวิตล้มเหลว ไม่ไปไหน

เชื่อว่าหลายคนก็เคยเผชิญกับความขี้เกียจในรูปแบบต่างๆ มาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความเฉื่อยชา การไม่เอางานเอาการ หรือการที่ไม่อยากจะทำอะไรเลยก็ตาม

ทั้งๆ ที่คุณจำเป็นจะต้องทำมัน ซึ่งในบางครั้งความขี้เกียจที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นเพราะว่า คุณไม่อยากที่จะเผชิญหน้ากับอะไรบางอย่างก็เป็นได้ ตัวอย่างเช่น การอ่านหนังสือเตรียมสอบในวิชาที่ตัวเองคิดว่ายากและไม่เข้าใจเลย หรืองานบ้านที่แสนน่าจะเบื่อ เป็นต้น หรือในบางครั้งก็อาจจะเป็นเพราะคุณแค่รู้สึกเหนื่อยล้า จึงทำให้คุณรู้สึกไม่พร้อมที่จะรับงาน หรือทำอะไรก็ตามในตอนนั้น

แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การเป็นคนขี้เกียจก็ไม่สามารถทำให้ชีวิตของเราก้าวหน้าต่อไปได้ และด้วยเหตุนี้ ผมจึงได้รวบรวม 15 วิธีที่จะทำให้คุณเลิกเป็นคนขี้เกียจมาให้แล้ว สำหรับคุณคนที่กำลังเผชิญความขี้เกียจอยู่ตอนนี้โดยเฉพาะ

15 วิธีเลิกเป็นคนขี้เกียจ

#1 การตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนและลงมือทำตามเป้าหมายนั้น

การกระตุ้นตัวเองให้เกิดความขยันโดยการตั้งเป้าหมาย เป็นวิธีที่แรกๆ ที่หลายคนมักจะใช้กัน ซึ่งถ้าหากเราใช้ชีวิตแบบเรื่อยเปื่อย ไม่มีการคาดหวัง หรือการตั้งเป้าหมายใดๆ เลย ก็อาจจะทำให้ชีวิตดูไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาเลยก็ได้ แต่การตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองก็จำเป็นต้องมีความชัดเจน และเป็นเป้าหมายที่พอจะเป็นไปได้

โดยอาจจะเริ่มจากการตั้งเป้าหมายเล็กๆ ก่อนก็ได้ เช่น การเริ่มออกกำลังกายวันละ 10 นาที รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เริ่มอ่านหนังสือใหม่ๆ เดือนละเล่ม เป็นต้น และเมื่อเรามีเป้าหมายเล็กๆ ที่ชัดเจนแล้ว ก็อย่ามัวแต่นั่งๆ นอนๆ โดยไม่ทำอะไร เพราะสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ผลลัพธ์ของการตั้งเป้าหมายของเราประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ก็คือ การลงมือทำตามเป้าหมายที่ได้ตั้งเอาไว้นั่นเอง

#2 การหาแรงบันดาลใจ หรือ สร้างแรงจูงใจ

การก้าวข้ามความขี้เกียจของตัวเองด้วยการหาแรงบันดาลใจ หรือสร้างแรงจูงใจ สามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น การตั้งใจเรียนเพื่อให้พ่อแม่ภูมิใจ การทำงานเก็บเงินเพื่อที่จะสร้างบ้านสวยๆ ให้พ่อแม่อยู่ หรือการทำงานที่รับมอบหมายให้เสร็จทุกอย่าง เพื่อที่วันถัดไปเราจะได้สบายและมีเวลาที่จะทำอย่างอื่นมากขึ้น เป็นต้น

แรงบันดาลใจเป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเราอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่ให้แง่คิดดีๆ ภาพยนตร์สารคดีที่สร้างแรงบันดาลใจ และสื่อต่างๆ อีกมากมาย หรืออาจจะเป็นประสบการณ์จากคนอื่นๆ ซึ่งในหลายๆ ครั้งก็สามารถนำมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเราได้เช่นกัน

ในปัจจุบันมีหลายคนที่อยากจะเริ่มหาแรงบันดาลใจในการทำอะไรสักอย่าง โดยการฟังพอดแคสต์ ซึ่งเป็นสื่อที่จะมาถ่ายทอดความรู้ แรงบันดาลใจ และแนวคิดดีๆ ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ และสามารถเข้าถึงได้ง่ายและฟังได้ทุกที่ทุกเวลา อย่างเช่น ในระหว่างช่วงพักกลางวันในที่ทำงาน ในระหว่างรถติด หรือ ก่อนเข้านอน เป็นต้น

#3 การทำรายการสิ่งที่ต้องทำ

วิธีที่จะช่วยให้เลิกเป็นคนขี้เกียจและเพิ่มความกระตือรือร้นให้ด้วยก็คือ การทำรายการของสิ่งที่ต้องทำ และจำเป็นต้องทำไว้หลายๆ ชุด และวางไว้ในที่ที่เรามองเห็นบ่อยๆ อย่างเช่น บนโต๊ะทำงาน ข้างๆ คอมพิวเตอร์ หน้าประตู หัวเตียงนอน หรือแม้กระทั้งในห้องน้ำก็ตาม เพื่อคอยย้ำเตือนตัวเองว่า เรายังมีงานที่ต้องทำรออยู่

และเมื่อคุณทำสิ่งไหนสำเร็จแล้ว ก็ให้ขีดฆ่าออก ซึ่งเมื่อคุณได้เริ่มขีดฆ่าบางรายการออกไปแล้ว คุณจะพบว่าตัวเองกำลังพัฒนาก้าวไปข้างหน้า ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้คุณเกิดความรู้สึกที่ดีจนหยุดไม่ได้ และต้องการเดินหน้าต่อไป ซึ่งถ้าหากตัวเองไม่พยายามต่อก็อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกผิดหวัง หรือรู้สึกแย่ลงได้ ด้วยเหตุนี้จึงอาจทำให้คุณเลิกเป็นคนขี้เกียจโดยไม่รู้ตัวเลยก็ได้

#4 การหมั่นทำทุกวันจนติดเป็นนิสัย

คุณเชื่อหรือไม่ว่า แม้ว่าเราจะเป็นคนที่ขี้เกียจมากขนาดไหน ก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนที่ดีกว่านี้ได้ โดยเริ่มจะการฝึกทำอะไรบางอย่างในทุกๆ วัน โดยไม่มีข้อแม้ โดยวิธีนี้มีทฤษฎีทางจิตวิทยารองรับ และเคยมีการทดลองมาแล้วว่าได้ผลจริงๆ นั่นก็คือ กฎ 21 วัน ซึ่งเป็นการให้ลองทำอะไรบ้างอย่างเป็นประจำติดต่อกันเป็นเวลา 21 วัน หรือ 3 สัปดาห์ ให้ได้

ซึ่งในช่วงวันแรกๆ ก็อาจจะต้องบังคับตัวเองสักหน่อย แต่ถ้าหากคุณสามารถผ่านมาได้ครบ 21 วัน ร่างกายและสมองของคุณก็จะเกิดความเคยชินกับการทำกิจวัตรเหล่านั้น จนกลายเป็นนิสัยไปเองโดยอัตโนมัติและไม่รู้สึกลำบากที่จะต้องทำอีกต่อไป และยิ่งทำซ้ำๆ ในช่วงเวลาเดิมก็จะยิ่งได้ผลลัพธ์ที่ดี เป็นทฤษฎีที่ทุกคนสามารถลองทำดูได้ง่ายๆ ดีไม่ดีคุณอาจจะเลิกเป็นคนขี้เกียจก่อนจะครบ 21 วันก็เป็นได้

#5 การคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา

การคิดถึงผลลัทธ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราทำ หรือไม่ทำอะไรบางอย่างนั้น เป็นหลักจิตวิทยาที่เรียกว่า การคิดแบบย้อนกลับ ถ้าหากเราเอาแต่ขี้เกียจไม่ยอมทำอะไร และปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปทุกวัน ก็จะทำให้เกิดสิ่งไม่ดีตามมาอย่างแน่นอน

เช่น หากกำลังเป็นนักเรียน หรือนักศึกษา ถ้าขี้เกียจอ่านหนังสือ ช่วงแรกๆ อาจจะคิดว่าคงไม่เป็นไร แต่ถ้าสัปดาห์หน้าจะสอบแล้ว ก็ยังไม่เริ่มเตรียมตัวหรืออ่านหนังสือสักที ผลลัทธ์ที่ตามมาก็คงสอบตก หรือ ทำคะแนนได้ไม่ดี และ หากเป็นกรณีที่เป็นวัยทำงาน ถ้าขี้เกียจไม่ยอมทำงาน เราก็อาจจะตกงาน พอตกงานแล้วก็ไม่มีเงิน พอไม่มีเงินก็เครียดจนคิดหาทางออกไม่ได้ สุดท้ายอาจลงเอยด้วยการฆ่าตัวตาย เป็นต้น

แต่หากคิดในทางกลับกัน มันจะเป็นอย่างไรถ้าคุณลองคิดถึงสิ่งดีๆ ที่จะตามมา โดยแทนที่จะนอนขี้เกียจอยู่บนเตียงเฉยๆ จะเป็นอย่างไรหากคุณลุกขึ้นมาออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ ทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จ และจะเกิดอะไรขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้าถ้าคุณทำสิ่งเหล่านี้ต่อไปในทุกๆ วัน เชื่อว่าผลลัพธ์ที่ได้ก็คงเป็นที่น่าพึงพอใจสำหรับใครหลายคนเลยทีเดียว

#6 การปรับมื้ออาหาร

เนื่องจากสมองของคนเรานั้นต้องการสารอาหารเพื่อไปเผาผลาญเป็นพลังงานอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น การปรับมื้ออาหารโดยการแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อเล็กๆ นั้น จะสามารถช่วยลดอาการเหนื่อยล้า และความขี้เกียจได้ และเพื่อให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดได้ช้า จึงควรเลือกรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลน้อย เช่น พวกธัญพืชต่างๆ น้ำมันมะกอก ผักที่มีเส้นใยสูง เป็นต้น

และยังรวมไปถึงอาหารประเภทที่มีโปรตีนและไขมัน ซึ่งจะช่วยทำให้มีเรี่ยวแรงกว่าการรับประทานอาหารจำพวกแป้งที่มีปริมาณน้ำตาลสูง และยังทำให้รู้สึกอิ่มนาน ไม่หิวบ่อยอีกด้วย และการรับประทานอาหารในมื้อเช้า ซึ่งเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน

เพราะการรับประทานอาหารเช้าจะช่วยให้เรามีสมาธิและสามารถสร้างสรรค์ไอเดียต่างๆ ในการทำงานได้มากมาย โดยไม่จำเป็นต้องมานั่งทนหิวเนื่องจากไม่ได้รับประทานอาหารเช้าจนไม่มีสมาธิที่จะทำอะไรเลย

#7 การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลทำให้เกิดความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย และอาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมาได้ ทั้งนี้ยังส่งผลกระทบต่ออารมณ์ ระดับพลังงานในร่างกาย และแรงผลักดันในการทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ขี้เกียจได้

และยิ่งถ้าเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอให้มากขึ้น พอผ่านไปนานวันเข้า นอกจากจะขี้เกียจตื่นนอนไปทำงานในตอนเช้าแล้ว ก็จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาสุขภาพดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นตามมาอีกด้วย ดังนั้น เราก็ควรจะให้ความสำคัญกับการนอนหลับพักผ่อนให้มากๆ เพื่อป้องกันอาหารง่วง เฉื่อยชาและขี้เกียจในระหว่างวัน

#8 การควบคุมความเครียด

ความเครียดนั้นเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยล้าและขี้เกียจได้ ไม่ว่าจะเป็นความเครียดจากการทำงาน หรือความเครียดจากปัญหาส่วนตัวก็ตาม ดังนั้น การควบคุมความเครียดจึงเป็นเรื่องสำคัญ อย่างเช่นการเข้าร่วมกลุ่มกับผู้ที่เคยเผชิญปัญหาที่คล้ายๆ กัน เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ซึ่งกันและกัน การไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อน หรือการไปปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญอย่างจิตแพทย์ ซึ่งอาจจะช่วยทำให้สามารถลดระดับความเครียดของเราลงได้

นอกจากนี้ เราก็ยังสามารถหากิจกรรมที่จะช่วยทำให้เกิดการผ่อนคลาย เช่นการเล่นโยคะ หรือการนั่งสมาธิ เป็นต้น ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรืออาจจะหางานอดิเรกที่เราชอบ ทำแล้วสบายใจ ก็สามารถช่วยผ่อนคลายความเครียดได้เช่นกัน

#9 การเลิกผัดวันประกันพรุ่ง

เรามัวเสียเวลา หรือเสียโอกาสที่จะทำงานต่างๆ ให้เสร็จตามเป้าหมายกันมาเท่าไหร่แล้ว กับการที่ต้องผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ จนไม่ได้เริ่มทำอะไรสักที แต่พอถึงคราวที่จะต้องถึงกำหนดส่ง หรือใกล้จะถึงเส้นตาย ก็จะรีบทำสิ่งนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ถ้าหากว่างานนั้นไม่มีกำหนดส่ง หรือเส้นตาย เราก็มักที่จะผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ จนทำให้งานที่ต้องทำไม่คืบหน้าไปไหนสักที

เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรทำก็คือ เลิกให้ทายตัวเอง ถ้าคิดว่าจะทำก็ต้องทำเลย โดยไม่มีข้ออ้างใดๆ เพราะการมีข้ออ้างเยอะ มันจะเป็นการสร้างนิสัยที่ขี้เกียจให้กับคุณเองโดยไม่รู้ตัว ลองคิดดูว่าถ้าคุณยังผัดไปอีกเดือนนึง สิ่งที่คิดไว้มันจะคืบหน้า หรือยังจะเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่

#10 การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ประโยชน์ของการออกกำลังกายนั้นมีอยู่มากมาย ยิ่งออกกำลังกายบ่อยๆ อย่างสม่ำเสมอก็ยิ่งดี แต่สิ่งสำคัญก็คือ การรู้สึกว่าตัวเองนั้นมีพลังงานอยู่ตลอดทั้งวัน และรู้หรือไม่ว่า การออกกำลังกาย 150 นาที / สัปดาห์ จะทำให้เลือดไหวเวียน ส่งผลให้ระบบเผาผลาญทำงาน และยังเป็นการช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีพลังงานตลอดทั้งวัน แถมยังช่วยลดความเครียด และยังสามารถเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ ซึ่งจะทำให้ร่างกายสามารถทำกิจกรรม หรือทำงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

และถ้าคุณลองออกกำลังกายเพียง 15 นาที ในตอนเช้า ก็จะสามารถทำให้คุณรู้สึกสดชื่นมากขึ้นได้ในตลอดช่วงบ่าย เมื่อรู้สึกว่าตัวเองมีพลังงานที่เพียงพอตลอดทั้งวันแล้วก็จะสามารถทำให้ลดอาการขี้เกียจเนื่องจากการขาดพลังงานของร่างกายลงไปได้มากเลยทีเดียว

#11 การบอกตัวเองว่าคุณทำได้

ในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หากคุณกำลังมีความรู้สึกว่าติดๆ ขัดๆ อะไรบางอย่างในใจ ก็ให้ลองลุกขึ้นมาทำมัน ณ ตอนนั้นเลยทันที เพราะถ้าเราไม่รีบตัดสินใจลงมือทำทันที สมองก็จะพยายามหาข้ออ้างทุกวิถีทางจนคุณไม่สามารถเริ่มทำมันได้สักที และเมื่อคุณเลือกที่จะลงมือทำแล้ว ให้คุณบอกตัวเองไว้เลยว่า “ถึงแม้ตัวฉันเองจะเป็นคนที่มีนิสัยขี้เกียจแค่ไหนก็ตาม แต่ว่าตอนนี้ฉันเลือกที่จะลุกขึ้นมาแล้ว และฉันจะทำงานในส่วนของฉันตรงนี้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ให้พยายามหลีกเลี่ยงการตั้งเงื่อนไขกับตัวเองในทำนองว่า “ถ้าตอนนั้นฉัน…” การพูดแบบนี้กับตัวเอง มันคือการตอกย้ำว่าคุณไม่อยากจะได้รับการเติมเต็มในชีวิต คุณจะไม่ถูกตัดสินใจจากสิ่งที่คุณเคยเป็น เพราะคนเราสามารถสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่และสามารถเกิดความเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เพียงแค่ต้องมีความเชื่อมั่นและการลงมือทำ

#12 การวางแผนการทำงาน

ในการทำงานในแต่ละวันเป็นเรื่องปกติที่อาจจะมีบางช่วงที่มีภาระงานท่วมท้นเข้ามากะทันหัน จนอาจทำให้รู้สึกว่าไม่น่าจะสามารถจัดการให้เสร็จเรียบร้อยภายในเวลากำหนดได้ จนอาจทำให้เกิดความรู้สึกขี้เกียจ และเหนื่อยล้าขึ้นได้

ดังนั้น เราควรที่จะต้องมีการวางแผนในการทำงานให้ดี ลำดับความสำคัญของงานที่จะต้องทำเสมอ เพื่อให้เราไม่เกิดการสับสนระหว่างขั้นตอนการทำงานว่าควรจะทำอะไรก่อน และลำดับถัดไปจะต้องทำอะไรต่อ เป็นต้น

เมื่อลำดับความสำคัญได้แล้ว ในกรณีที่มีภาระงานที่จำเป็นต้องจัดการมากจนเกินไป เราก็อาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน หรือคนรอบข้างที่สามารถไว้ใจได้ เพื่อที่จะทำให้งานสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้.

#13 การมีวินัยกับตัวเองให้มากขึ้น

วินัยเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกๆ คนควรจะต้องมีมันติดตัวไว้ โดยเฉพาะคนที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือต้องการที่จะพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น

เพราะฉะนั้น การมีวินัยในตัวเองจึงหมายถึง การทำในสิ่งที่ควรทำ ในเวลาที่ควรจะต้องทำนั่นเอง ไม่ว่าคุณจะมีความรู้สึกขี้เกียจ หรือไม่อยากทำแค่ไหนก็ตาม ดังนั้น จนกว่าคุณจะทำงานนั้นสำเร็จ หรือจนกว่าจะถึงเวลาที่สามารถพักได้ อย่าพยายามพาตัวเองไปอยู่ใกล้กับความสบายที่เกินพอดี อย่างเตียงนอน โซฟา เป็นต้น

เมื่อถึงเวลาที่สามารถพักได้แล้ว ก็อย่าลืมที่จะกำหนดเวลาที่จะกลับไปสะสางภาระงานที่ทำค้างไว้อยู่ด้วย เช่น การอ่านหนังสือเตรียมสอบ หรือการทำความสะอาดบ้าน เป็นต้น

#14 การลดตารางเวลาที่ไม่จำเป็น

บางครั้งการที่เรามีกิจกรรมที่มากเกินไปในชีวิตประจำวันก็อาจจะทำให้คุณไม่ได้ทำในบางสิ่งที่ตัวเองอยากทำ เนื่องจากคุณจะมีรู้สึกว่าเรามีเรื่องที่ต้องทำเยอะแยะไปหมดจนไม่รู้จะทำอะไรดี จนอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกขี้เกียจขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้น เราจึงควรที่จะพยายามลดตารางนัดหมาย หรือกำหนดการต่างๆ ที่ไม่สำคัญเท่าไหร่ออก และให้เราเน้นเฉพาะเรื่องที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น

โดยให้หยุดรับรู้สิ่งที่รบกวนจิตใจทุกๆ อย่างออกไป และมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายหลักของตัวเองเท่านั้น เช่น การไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนๆ  ในช่วงหลังเลิกจากงานในแต่ละวัน ถ้าหากเราตัดกิจกรรมนี้ทิ้งไปได้ เราก็จะได้เวลาในการที่จะทำตามเป้าหมายกลับมามากขึ้น

#15 การขอความช่วยเหลือจากใครสักคน

ในบางครั้งการมีใครสักคนที่อยู่กับเรา แล้วสามารถช่วยกระตุ้นให้เราลงมือทำในสิ่งที่ต้องการได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร ซึ่งหลายๆ คนอาจจะมองว่าการขอความช่วยเหลือจากคนอื่นนั้น อาจจะทำให้คนอื่นมองเราไม่ดี

แต่ถ้าลองคิดไตร่ตรองดูดีๆ แล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับเรา ในเมื่อเราไม่สามารถที่จะจัดการกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว การขอความช่วยจากคนอื่นก็น่าจะเป็นสิ่งที่ควรทำไม่ใช่หรือ เช่น ถ้าหากคุณกำลังพยายามจะลดน้ำหนัก การมาออกกำลังด้วยตัวคนเดียวอาจจะทำให้คุณรู้สึกเบื่อ แล้วเริ่มเกิดความขี้เกียจตามมาได้

เพราะฉะนั้น คุณก็อาจจะชวนเพื่อนสักคนไปออกกำลังกายด้วยกัน เพราะในวันที่คุณมีความรู้สึกขี้เกียจเกิดขึ้น เพื่อนของคุณก็จะเป็นคนที่สามารถย้ำเตือนสติคุณได้ และในทางกลับกันถ้าเพื่อนของคุณเกิดขี้เกียจขึ้นมาในวันนั้น คุณก็สามารถเตือนสติเพื่อนได้เช่นเดียวกัน

เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับ 15 วิธีที่ได้รวบรวมมาให้ หากใครกำลังขี้เกียจไม่ว่าจะเนื่องจากอาการเบื่อหน่าย อ่อนเพลีย หรือ รู้สึกไม่อยากที่จะเผชิญกับอะไรที่คุณรู้สึกว่าอาจจะรับไม่ไว้ก็ตาม ก็ให้ลองนำ 15 วิธีนี้ไปปรับใช้กันได้เต็มที่เลยครับ ทั้งนี้จะสามารถช่วยได้มาก หรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับตัวของคุณเองแล้ว และสุดท้ายนี้จงจำไว้ว่าความขี้เกียจนั้นก็คือ ศัตรูตัวฉกาจของความสำเร็จ ถ้าคุณเป็นคนที่อยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต แล้วทำไมตอนนี้คุณถึงยังไม่เริ่มที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่ออนาคตที่ดีของตัวเองบ้างล่ะ

บทความล่าสุด