กฎแห่งแรงดึงดูด (Law of Attraction) คืออะไร? มีจริงมั้ย?

กฎแห่งแรงดึงดูด (Law of Attraction) คืออะไร? มีจริงมั้ย?

กฎแห่งแรงดึงดูด บอกไว้ว่าถ้าเราเชื่อในอะไรมากๆ เราก็จะดึงดูดสิ่งนั้นได้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จ ความรวย หรือแม้แต่ความรัก บทความนี้ผมจะพูดเรื่องกฎแห่งแรงดึงดูด อธิบายว่ากฎแห่งแรงดึงดูดคืออะไร ทำอะไรได้ และ ที่สำคัญที่สุดก็คือ มีจริงไหมในเชิงวิทยาศาสตร์

ขอออกตัวก่อนนะครับ เนื่องจากว่าความเชื่อเรื่องกฎแห่งแรงดึงดูดมีหลายแขนง ผมจะขอพูดในบริบทของสิ่งที่คนรู้จักมากที่สุดนะครับ ซึ่งก็คือกฏแห่งแรงดึงดูดที่ถูกนิยามไว้ในหนังสือ The Secret ที่เป็นปรัชญาของ ‘แนวคิดแบบใหม่’ (New Thought Philosophy)

กฎแห่งแรงดึงดูดคืออะไร? ทำอะไรได้?

กฎแห่งแรงดึงดูด คือความเชื่อว่าความคิดและความเชื่อเป็นสิ่งที่ดึงดูดประสบการณ์ในชีวิตของคน คนที่คิดบวกก็จะเจอประสบการณ์ที่ดี และคนที่คิดลบก็จะเจอประสบการณ์ที่ไม่ดี ความคิดเหล่านี้สามารถดึงดูดได้ทั้งสุขภาพ เงินทอง หรือแม้แต่ความสัมพันธ์

ก่อนที่ผมจะอธิบายอะไรเพิ่มเติมนะครับ ผมขอบอกก่อนว่าทฤษฎีกฎแห่งแรงดึงดูดนี้ไม่ได้มีหลักฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นในสายตาคนทั่วไปแล้ว เราก็พูดได้ว่ากฎแห่งแรงดึงดูดเป็น Pseudoscience หรือ ‘วิทยาศาสตร์เทียม’ นั่นเอง

การปรับเปลี่ยนความคิด (cognitive restructuring) เป็นพื้นฐานของทฤษฎีกฎแห่งแรงดึงดูด แต่สิ่งที่กฎแห่งแรงดึงดูดเพิ่มขึ้นมาก็คือการที่เราสามารถเปลี่ยนความคิดเป็น ‘พลังงาน’ ที่จะดึงดูดสิ่งดีๆต่างๆเข้ามาในชีวิต (ในภาพคือคำอธิบายจาก wikipedia ของฝรั่ง เน้นย้ำที่คำว่า pure energy หรือ พลังงานบริสุทธิ์)

กฎแห่งแรงดึงดูดคืออะไร? ทำอะไรได้? - Law of Attaction

‘ยิ่งเราคิดถึงอะไรเยอะ เราก็สามารถได้สิ่งนั้นง่ายขึ้น’ เป็นเหมือนสโลแกนของกฎแห่งแรงดึงดูด คล้ายกับคำพูดในศาสนาพุทธที่ว่า ‘คิดสิ่งใดได้สิ่งนั้น’

อย่างที่บอกไว้ กฎแห่งแรงดึงดูดไม่ได้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ แต่โดยพื้นฐานแล้ว มนุษย์ก็มีความคิดหลายๆอย่างที่จำกัดความสามารถของตัวเอง (Limiting Belief) เช่น คิดว่าเราไม่เก่งก็เลยไม่กล้าทำอะไรใหม่ๆ หรือคิดว่าเราทำได้ก็เลยเปิดรับโอกาสมากกว่าเดิมจนสำเร็จจริงๆ

คำพูดและความเชื่อเป็นเครื่องมือที่น่ากลัว หลายคนที่ชีวิตไม่มีอะไรเลย มีแค่คำพูดและความเชื่อก็ทำให้ตัวเองเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้แล้ว (อาจจะฟังเหมือนประชด แต่อันนี้ผมพูดชมนะ)

กฎแห่งแรงดึงดูดมีจริงไหม…ตามหลักวิทยาศาสตร์

กฎแห่งแรงดึงดูดเป็นคำพูดเปรียบเปรย และไม่ได้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะส่วนที่บอกว่าความคิดสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานและดึงดูดเป็นสิ่งต่างๆจากจักรวาลได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความคิดและความเชื่อของมนุษย์จะไม่มีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตเลย 

สติ สมาธิ แรงจูงใจ สามารถถูกเปรียบเทียบกับ พลังงานทางจิต (Mental Energy) และ ความแข็งแกร่งทางจิต (Mental Stamina) ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากเท่าไหร่ แต่ก็มีการพิสูจน์แล้วว่า คนที่เหนื่อย มีสมาธิน้อย ไม่มีแรงจูงใจ จะมีประสิทธิภาพในการทำงานต่ำลง สามารถจดจำอะไรได้น้อยลง 

คำเปรียบเทียบง่ายๆก็คือ หากเรากำลังวิ่งอยู่ ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้ เราก็อาจจะวิ่งได้ไกลหน่อยเพราะเรามีกำลังใจเยอะ แต่ถ้าเราไม่เชื่อในตัวเอง เราก็อาจจะรู้สึกเหนื่อยรู้สึกท้อได้ง่าย ถึงแม้ว่าเราอาจจะพักผ่อนและกินอาหารมาอย่างเพียงพอเท่ากันก็ตาม 

ในทางตรงกันข้าม ไม่ว่าเราจะเชื่อในตัวเองมากแค่ไหน โอกาสที่เราจะถูกหวยก็ไม่ได้มีมากขึ้นเลย เพราะเราไม่สามารถควบคุมปัจจัยภายนอกได้

ในบริบทของคำพูดและความเชื่อ เราสามารถอธิบายกฎของแรงดึงดูดได้ 2 อย่าง

ความคิดที่จำกัดความสามารถตัวเอง (Limiting Belief) – ในมุมมองของการพัฒนาตัวเอง เราจะเห็นได้ว่ามนุษย์ทุกคนมีความคิดความเชื่อที่จำกัดความสามารถตัวเองอยู่เยอะ เช่นเราไม่เก่ง เราไม่สวย เราไม่รวย เราไม่ได้มีทุนเหมือนคนอื่น การเข้าใจความสามารถตัวเองเป็นเรื่องดี แต่เราก็ไม่ควรนำจุดได้เหล่านี้มาเปลี่ยนเหตุผลในการไม่ทำอะไรใหม่ๆ

การพยากรณ์ที่ตนดลให้เป็นจริง (Self Fulfilling Prophecy) – เช่นการที่ผู้ใหญ่บอกเด็กว่า ‘โตขึ้นหนูจะได้เป็นนักบินนะ’ เด็กที่เชื่อก็จะมีความพยายามและความตั้งใจในการเป็นนักเรียนมากกว่าเด็กทั่วไป ซึ่งความพยายามนี้ก็จะทำให้ตัวเองเป็นนักบินได้จริง ในส่วนนี้เป็นเรื่องของกำลังใจและการสร้างทิศทางชีวิต

สรุปก็คือ ความคิดและความเชื่อมีอิทธิพลต่อปัจจัยภายในเราเยอะ (ความกล้า ความมั่นใจ ความมุ่งมั่น เป้าหมายในชีวิต) ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีการรับรองทางวิทยาศาสตร์ ในทางตรงกันข้าม ความคิดความเชื่ออย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนปัจจัยภายนอกเราได้ขนาดนั้น เราอาจจะโน้มน้าวตัวเองและคนอื่นได้ แต่เราไม่สามารถโน้มน้าวธรรมชาติหรือจักรวาลได้ด้วยความเชื่ออย่างเดียว 

‘พลังงาน’ เป็นคำที่เราต้องระวังในการใช้ในการเปรียบเทียบ เพราะสำหรับคนทั่วไป พลังงานเป็นสิ่งที่วัดค่าวัดผลได้จริง เช่น พลังงานไฟฟ้า พลังงานแคลอรี่ หรือแม้แต่พลังงานศักย์โน้มถ่วง (Gravitational Potential Energy) ที่คนเรียกว่าแรงโน้มถ่วง หรือแรงดึงดูดนั่นเอง เราสามารถใช้คำว่า ‘พลังงาน’ ในบทสนทนาทั่วไปได้ แต่ถ้าเราจะบอกว่าพลังงานนั้นมีจริง เราก็ต้องเตรียมพิสูจน์คำพูดตัวเอง 

‘จักรวาล’ ก็เป็นคำที่ถูกพูดถึงควบคู่กับกฎแห่งแรงดึงดูดเสมอ ซึ่งจริงๆแล้วผมก็ไม่ค่อยเข้าใจคำเปรียบเปรยนี้เท่าไร เพราะจักรวาลมี ‘แรงดึงดูด’ (gravity) น้อยมากครับ จริงๆแล้วหากอยากเทียบเรื่องสิ่งของที่มีแรงดึงดูดจริงๆ เราพูดถึงดาวเคราะห์จูปิเตอร์ดีกว่า มีแรงดึงดูดมากสุดในทางช้างเผือก

นอกจากนั้น หากทุกอย่างคือสิ่งที่จักรวาลให้เรามาเพราะความคิดของเรา สิ่งแย่ๆเช่น ความจน หนี้ อุบัติเหตุ โรคภัยไข้เจ็บ ก็เป็นผลลัพธ์ของกฎแห่งแรงดึงดูดในแง่ลบหรือเปล่า? คุณโดนรถชนเพราะคุณคิดลบเอง…ช่วยไม่ได้?

กฎแห่งแรงดึงดูด และเรื่องของความร่ำรวย ช่วยปลดหนี้

ความเชื่อและเรื่องของเงินๆทองๆเป็นสองสิ่งที่เราเห็นคู่กันบ่อยๆ เวลาที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมหรืออธิบายปัจจัยต่างๆที่สำคัญได้เช่นเรื่องสุขภาพ เงินทอง หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ ธรรมชาติของมนุษย์ก็จะทำให้เราวิ่งหาคำตอบแบบอื่น 

ถึงแม้ว่ากฎแห่งแรงดึงดูดจะไม่สามารถสร้างเงินให้คุณได้โดยตรง (อย่างมีนัยยะสำคัญในเชิงสถิติ) แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์ส่วนมากจำกัดโอกาสของตัวเองเพียงเพราะคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ หรือไม่อยากทำ เช่นไม่กล้าย้ายงานเพราะกลัวเข้ากับที่ทำงานใหม่ไม่ได้ หรือลาออกไม่อยากไปทำงานเพราะขี้เกียจ

ถึงแม้ว่าความคิดความเชื่อจะเปลี่ยนคนได้ แต่จุดด้อยของทฤษฎีกฎแห่งแรงดึงดูดก็คือการเน้นย้ำแค่เรื่องของความคิดความเชื่ออย่างเดียว แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องความพยายามและวิธีการพัฒนาตัวเอง ผมจะขออธิบายง่ายๆนะ กฎแห่งแรงดึงดูดอาจจะบอกว่า 

ความเชื่อคิดบวก > ความร่ำรวย

แต่จริงๆแล้ว กระบวนการในการสร้างความร่ำรวยในโลกแห่งความจริงมีความซับซ้อนกว่านี้ เช่น

ความเชื่อคิดบวก > ความกระตือรือร้น > ความพยายาม > ความร่ำรวย

แทนที่เราจะคิดว่า เราเชื่อว่าเราจะรวยแล้วเราจะรวยทันที เราควรปรับความคิดว่า เราเชื่อว่าเรารวยได้ เราเลยต้องออกไปทำงาน เราต้องตั้งใจทำงานเรื่อยๆ ก้าวผ่านความล้มเหลว แล้วความรวยจะมาหาเราเอง

แต่เราก็ต้องยอมรับว่า แค่ความพยายามอย่างเดียวอาจจะไม่ทำให้หลายคนรวย งานบางประเภท บางอาชีพ นั้นมี ‘เพดานรายได้’ ต่อให้พยายามมากขึ้นสองเท่า รายได้ก็ไม่ได้เพิ่มเท่าตัว ในส่วนนี้ การปรับมุมมองว่าเราต้องมีเงินก็จะทำให้เราถอยออกมาดูภาพรวมที่กว้างขึ้นได้ ซึ่งก็เป็นจุดเริ่มต้นของการหาโอกาส การลองอะไรใหม่ๆ ซึ่งก็เป็นปัจจัยของความร่ำรวย 

สำหรับบางคน ‘การปรับมุมมองความคิด’ ก็เป็นสิ่งที่จำเป็น แต่หลายคนก็ทำสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว

วิธีนำกฎแห่งแรงดึงดูด มาใช้ให้เกิดประโยชน์

ปรัชญา ความคิด ความเชื่อ เป็นสิ่งที่น่าพิศวง แต่ตัวเลือกของเราไม่ได้มีแค่การปฏิเสธหรือการยอมรับ เราสามารถหยิบข้อดีมาใช้เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ในชีวิตเราได้

‘แกล้งทำจนทำให้ได้’ (Fake It ‘Till You Make It) และ ‘แกล้งทำจนเรากลายเป็นอย่างนั้น’ (Fake It ‘Till You Become It) เป็นวลีที่วัยรุ่นชอบพูดกัน เหมาะสำหรับคนที่อาจจะยังไม่พร้อม แต่ต้องการกำลังใจเพื่อให้ตัวเองกล้าที่จะลองอะไรใหม่ๆ

‘การคิดบวก’ เป็นเครื่องมือที่มีพลังมาก ในส่วนนี้สิ่งที่คุณต้องพิจารณาก็คือ อะไรเป็นสิ่งที่รั้งไม่ให้คุณได้ในสิ่งที่คุณอยากได้ หากคำตอบคือความกล้า ความมั่นใจ หรือการตั้งเป้าหมาย ผมคิดว่ากฎแห่งแรงดึงดูดก็สามารถตอบโจทย์ได้ดี

แต่ในขั้นตอนต่อไป สิ่งที่คุณต้องมีก็คือ สติ ตรรกะ วินัย และ ความพยายาม ที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีและมีความมุ่งมั่นในการวิ่งสู่เป้าหมาย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณเชื่อในกฎแห่งแรงดึงดูดทฤษฎีไหน เพราะถ้าเราถามคนสิบคน เราก็ได้สิบนิยามครับ แต่ละทฤษฎีมีความคล้ายคลึงกันแต่ก็ไม่ได้เหมือนกันสักทีเดียว

อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญก็คือการเอาชนะนิสัยขี้กลัวและขี้เกียจ ซึ่งในส่วนนี้ก็มาได้ในหลายรูปแบบ ตั้งแต่การสะกดจิต การปรับเปลี่ยนความคิด หรือแม้แต่การบำบัดจิต บางอย่างก็เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์เทียม บางอย่างก็เป็นเรื่องของจิตวิทยา และบางอย่างก็เป็นเรื่องของจิตแพทย์ 

‘การบำบัดจิต’ อาจฟังเหมือนเรื่องเล่นๆ แต่จริงๆแล้ว อาการคิดลบ รู้สึกไร้ที่พึ่งพา วิตกกังวลเยอะ หรือไม่มีสมาธิ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่รักษาได้ แล้วก็ไม่ใช่เป็นเรื่องน่าอายที่เราจะเดินเข้าไปคุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ (อาจจะถูกกว่าการรักษาทางอ้อมแบบอื่นเสียอีก) 

ผมสรุปให้ดังนี้นะครับ

หากคุณเป็นคนที่คิดลบ จนกระทบวิธีการใช้ชีวิต > ให้หาผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ เพื่อขอความช่วยเหลือ
หากคุณมีความคิดเฉยๆ ไม่ได้บวกหรือลบ > เป็นไปได้ผมก็อยากให้คุณคิดบวก แต่ถ้าความคิดปัจจุบันของคุณไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน คุณจะทำอะไรก็ได้ครับ
หากคุณเป็นคนที่คิดบวก> ก็คิดบวกต่อไป ดีแล้ว

สุดท้ายนี้เกี่ยวกับกฎแห่งแรงดึงดูด

หากคุณไม่ได้อะไรจากบทความนี้เลย ผมอยากให้จำไว้ว่า ‘การคิดบวก’ และ ‘ความพยายาม’ เป็นสองสิ่งที่มนุษย์ควรมี ซึ่งถ้าการเชื่อในกฎแห่งแรงดึงดูดทำให้คุณมีสิ่งเหล่านี้ได้ ผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องน่ายินดี 

เราสามารถมอง ‘กฎแห่งแรงดึงดูด’ ว่าเป็นปรัชญาหนึ่งแขนง และการศึกษาปรัชญาความคิดก็เป็นสิ่งที่ดี แต่เราต้องศึกษาควบคู่ไปกับปรัชญาแบบอื่นเพื่อเปรียบเทียบด้วย ผมมีบทความเรื่อง ปรัชญาแห่งสโตอิก ที่เกี่ยวกับการปรับความคิดให้เราสามารถอดทนต่ออุปสรรคต่างๆได้ แนะนำให้ลองอ่านดูนะครับ ทุกคนจะได้มีมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น ปรัชญาแห่งสโตอิกคืออะไร

สุดท้ายนี้ผมจะบอกว่า ความเชื่อเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แล้วก็คงไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะบอกว่าคุณควรเชื่อเรื่องอะไรบ้าง ถ้าหากคุณเป็นคนที่กำลังหาวิธีปรับความเชื่อปรับนิสัยส่วนตัวและกำลังพิจารณาเรื่องการใช้เงินกับสิ่งนี้ ผมก็แนะนำให้คุณขอความช่วยเหลือจากมืออาชีพที่มีใบรับรองอย่างชัดเจนนะครับ

บทความล่าสุด