วิธีรับมือกับความล้มเหลว (และนำชีวิตไปสู่ความสำเร็จ)

วิธีรับมือกับความล้มเหลว (และนำชีวิตไปสู่ความสำเร็จ)

ความล้มเหลวถือว่าเป็นเรื่องย้อนแย้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ เราเกลียดความล้มเหลว ไม่มีใครอยากล้มเหลว แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่สามารถโตขึ้น เก่งขึ้น ดีขึ้น หรือพัฒนาได้มากขึ้น หากเราไม่ล้มเหลวมาก่อน

บทความนี้จะพูดถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดความล้มเหลว วิธีก้าวผ่านความล้มเหลวในหลายๆกรณี และ การนำความล้มเหลวเหล่านี้มาปรับให้เรากลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จให้ได้

วิธีรับมือกับความล้มเหลว

เป็นธรรมดาที่อาจจะเกิดความล้มเหลวอย่างไม่สามารถเลี่ยงได้ในบางครั้ง แต่คุณจะทำอย่างไรให้เกิดความล้มเหลวน้อยที่สุด ถ้าลองคิดไตร่ตรองดีๆ ความล้มเหลวก็ยังมีข้อดีของมันอยู่ บางครั้งมันก็จะช่วยให้เราไม่หลงทาง ทำผิดพลาดแบบเดิมๆ เพราะมันกำลังบอกว่านี่ยังไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง และเราก็ควรเลือกที่จะลองเปลี่ยนเส้นทางใหม่

ในส่วนนี้ผมได้แยกวิธีการรับมือความล้มเหลวไว้หลายประเภท เพื่อที่จะช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้อ่านได้ในหลายๆมุมมองนะครับ

การรับมือความล้มเหลวในการทำงาน

เมื่อเกิดความล้มเหลวในการทำงานขึ้น สิ่งแรกที่ควรทำคือ ต้องยอมรับความล้มเหลวหรือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นก่อน อย่าพยายามพูดแก้ตัว เพื่อที่จะลดความผิดพลาดนั้นให้น้อยลง มันไม่มีประโยชน์เลย เพราะคนที่รับผิดชอบงานนั้นๆ นั่นก็คือ ตัวเรานั่นเอง

ดังนั้น เราก็ควรยอมรับพร้อมกับการกล่าวขอโทษ และรีบหาทางแก้ไขปัญหาต่อไป โดยการคิดทบทวนถึงสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น ว่าความล้มเหลวในครั้งนี้เกิดจากสาเหตุอะไร มีข้อบกพร่องตรงไหนบ้าง แล้วหาแนวทางแก้ไขปัญหาโดยเร็ว เพื่อให้การทำงานกลับมามีประสิทธิภาพและสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างถูกต้อง

ถ้าหากว่าเราไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยตนเอง หรือลองแก้ไขดูแล้วแต่ยังไม่ดีขึ้น วิธีต่อไปคือให้ลองขอความช่วยเหลือจากผู้รู้ที่น่าจะสามารถช่วยแก้ปัญหาให้เราได้ เช่น เพื่อนร่วมงานในสายงานเดียวกันหรือหัวหน้างาน เป็นต้น หากเป็นปัญหาที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางก็ให้ลองขอความช่วยเหลือจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านนั้นๆ เพื่อที่จะนำมาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้

แน่นอนว่าในบางครั้งปัญหาจากการทำงานก็อาจจะมาจากปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ ในส่วนนี้หากเรามั่นใจว่าเราทำได้ดีที่สุดแล้ว วิธีแก้ไขที่ดีที่สุดก็คือการหากระบวนการป้องกันไม่ให้ปัญหาเดิมๆเกิดขึ้นอีก

การรับมือความล้มเหลวในการเรียน

ก่อนอื่นต้องเริ่มจากการตั้งคำถามว่า แบบไหนถึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จในการเรียน และแบบไหนถึงจะเรียกว่าล้มเหลว

หลายๆ คนก็คงจะเข้าใจว่าการที่จะประสบความสำเร็จในการเรียนได้ จำเป็นต้องเรียนให้ได้เกรด 4 หรือ เกรด A เท่านั้น ส่วนคนที่เรียนได้เกรดไม่ค่อยสวยเท่าไหร่อาจถูกมองว่าล้มเหลวในการเรียน ซึ่งวิธีการวัดผลโดยใช้ผลการเรียนหรือเกรดเฉลี่ยนั้น อาจจะดูเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด

แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นผลการเรียนที่ได้มาอย่างมีคุณภาพหรือเป็นเพียงแค่ตัวเลข เพราะการจะตัดสินว่าเรานั้นประสบความสำเร็จในการเรียนหรือไม่ คือ การที่เราสามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการเรียน นำมาใช้ได้จริงหรือไม่

ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรทำไม่ใช่คอยโทษตัวเองว่าไม่เก่งหรือฉลาดน้อย แต่ให้ลองคิดทบทวน ไตร่ตรองดูดีๆ ว่าเราได้พยายามอย่างตั้งอกตั้งใจจริงๆแล้วหรือยัง ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจหากสาเหตุของการล้มเหลวในการเรียนเกิดจากการที่ตัวเองไม่ใส่ใจเท่าที่ควร เช่น พูดคุยเรื่องอื่นในระหว่างเรียนกับเพื่อน คิดเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการเรียน เล่นมือถือ เป็นต้น

ถ้ามั่นใจว่าตนเองตั้งใจเรียนแล้วจริงๆ แต่ยังรู้สึกว่ามันยังไม่ได้ผล อาจจะเป็นเพราะวิธีการสอน หรือเนื้อหาที่มันยากเกินไป ซึ่งยังไม่เหมาะกับเรา ดังนั้น ลองเริ่มต้นใหม่จากข้อมูลพื้นฐานหรือความรู้ทั่วไปที่จำเป็นต้องรู้ เพื่อจะสามารถนำมาต่อยอดต่อไปได้ในอนาคต

เพื่อนก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญที่มีผลต่อการเรียนเป็นอย่างมาก หากเพื่อนกลุ่มเรียนของคุณในปัจจุบันเป็นกลุ่มที่ตั้งใจเรียน พวกเขาก็จะช่วยพากันไปเรียน และทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จในการเรียนมากกว่าการคบเพื่อนที่ไม่ตั้งใจเรียน

เมื่อเรียนเสร็จแล้วในแต่ละครั้ง ให้ลองนำความรู้ที่ร่ำเรียนมาไปปฏิบัติจริงดู เพื่อวัดผลว่าการเรียนของเราสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ หากเอาแต่เรียนอย่างเดียวแล้วไม่เคยนำไปใช้เลย เราก็เหมือนกับล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้นำมาใช้จริง

การรับมือความล้มเหลวในชีวิต

เมื่อคนเราพบกับความล้มเหลวในชีวิต เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกสิ้นหวัง แต่อย่างไรก็ตามเราก็ต้องกลับขึ้นมาพยายามใหม่อีกครั้งให้ได้ ให้ลองเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า เมื่อใดที่คุณล้มเหลวในชีวิต นั่นหมายความว่าคุณได้รับบทเรียนแล้ว และมันคือประสบการณ์ชีวิตที่มีเพียงคุณเท่านั้นที่ได้รับ

จากนั้นลองตั้งเป้าหมายใหม่อีกครั้ง โดยคราวนี้แผนการที่วางไว้ก็ควรจะยืดหยุ่นได้มากกว่านี้ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และจะทำให้สิ่งที่ทำอยู่ไม่หยุดชะงักทั้งยังสามารถเปลี่ยนแปลง แก้ไข ตามความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ได้ดีขึ้น

การพักผ่อนก็เป็นสิ่งสำคัญ หลังจากการที่ใช้ความพยายามเพื่อทำตามเป้าหมายด้วยความมุ่งมั่น เจออุปสรรคต่างๆ มากมาย ทั้งร่างกายและจิตใจก็อาจจะเหนื่อยล้าบางเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นการรู้จักที่ดูแลสุขภาพตัวเอง จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

ในบางครั้งเราจะเจอกับปัญหาที่ไม่สามารถหาทางออกได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีคนข้างๆ คอยช่วย และคนคนนั้นควรเป็นคนที่พร้อมจะสนับสนุนเราด้วย เช่น เพื่อนสนิท คนรัก หรือคนในครอบครัว เป็นต้น พวกเขาจะคอยช่วยเหลือและให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์แก่เราได้ ด้วยความยินดีและเต็มใจ กลับกันควรอยู่ให้ห่างจากคนที่มีทัศนคติที่ไม่ดี ชอบคิดลบ และพยามยามพาตัวเองไปอยู่ในสังคมของคนที่ชอบพัฒนาตัวเองดีกว่า

และคอยถามตัวเองเสมอว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้น ทำไมมันถึงสำคัญกับเรา เมื่อไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นสำคัญอย่างไรก็จะทำให้ไม่มีกำลังใจหรือแรงที่จะทำมันได้เต็มที่ ดังนั้นควรให้ความสำคัญกับทุกสิ่งที่ทำอยู่มากๆ ผมเชื่อว่าคุณจะเข้าใกล้คำว่าความสำเร็จมากกว่าความล้มเหลวอย่างแน่นอน

การก้าวผ่านความล้มเหลวด้วยการแก้ปัญหาในใจเรา

สุดท้ายแล้ว หากเราเข้าใจว่าปัญหาภายนอกเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ยาก เราก็จะเห็นว่าปัจจัยต่างๆที่ทำให้เราทุกข์ใจก็มาจากใจเราทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่สามารถบอกได้ว่าปัจจัยไหนสำคัญกับคุณมากที่สุด เพราะทุกคนมีความชอบและความไม่ชอบไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเรามาลองดูปัจจัยต่างๆในใจเราที่เกี่ยวข้องกับความล้มเหลวเพื่อทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นกัน

ปัจจัยแห่งความล้มเหลว

#1 การคิดลบ

การคิดลบก็คือ การที่เราตัดสินเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งที่เกิดขึ้นและยังไม่เกิดขึ้น รวมไปถึงการตัดสินตัวบุคคลในทางที่ไม่สร้างสรรค์

ซึ่งการที่คนเราจะคิดลบบ้างนั้น เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าคิดลบมากเกินไปจนเป็นนิสัยติดตัว มักมองโลกในแง่ร้าย คอยจ้องจะจับผิดคนอื่นตลอดเวลา คิดว่าตัวเองดีไม่พอ ยิ่งสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะทำให้เกิดผลกระทบต่างๆ ตามมา

อันได้แก่ ผลกระทบกับสุขภาพกายและสุขภาพจิต ผลกระทบต่อความภาคภูมิใจในตนเองที่ต่ำลง ผลกระทบต่อคนรอบข้างมักคิดร้ายต่อผู้อื่น ผลกระทบต่อเรื่องเรียนหรือเรื่องงาน ผลกระทบต่อชีวิตครอบครัว ชีวิตคู่ มีความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง เป็นต้น

ดังนั้นการคิดลบไม่ส่งผลดีอะไรให้กับเราเลย มีแต่คอยบั่นทอนและทำให้เกิดความทุกข์กว่าเดิม ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จให้ลองเริ่มจากการเลิกคิดลบก่อน และให้เปลี่ยนความคิดใหม่ว่า ความล้มเหลวนั้นเป็นเพียงแค่ก้าวแรกของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต

#2 การไม่มีเป้าหมาย

การไม่มีเป้าหมายเปรียบเสมือนกับการเดินทางอย่างไร้จุดหมาย และเป็นธรรมดาที่คุณจะหลงทางซ้ำแล้วซ้ำเล่าวนไปวนมา หากยังไม่มั่นใจในเส้นทางที่จะไป จึงทำให้ไม่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้เสียที ไม่จำเป็นต้องเห็นเป้าหมายชัด

เชื่อเถอะว่าไม่มีใครเห็นภาพเป้าหมายในชีวิตของตัวเองชัดเจนตั้งแต่แรก แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีเป้าหมายอะไรเลย เช่น คุณอาจมีเป้าหมายที่จะเดินทางไปเที่ยวที่ภูเก็ต ถึงแม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าจะแวะเที่ยวตรงจุดไหนบ้าง แต่มันก็จะไม่ทำให้คุณหลงไปเชียงรายอย่างแน่นอน และเป้าหมายนั้นเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

หากมั่นใจว่าจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรกำหนดว่าต้องยึดมั่นในเป้าหมายเดิมเท่านั้น ห้ามเปลี่ยนแปลง เป้าหมายของคุณในอีก 5 ปีข้างหน้า อาจจะแตกต่างจากเป้าหมายของคุณในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้ ดังนั้นการมีเป้าหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ความตั้งใจของคุณนั้นเป็นจริงและประสบความสำเร็จได้

#3 การไม่ลงมือทำ

มีคำกล่าวที่บอกว่า ‘ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากความรู้ แต่เกิดจากการลงมือทำ’ แม้ว่าจะมีความรู้ความสามารถมากมาย ความฝันอันยิ่งใหญ่ เป้าหมายที่ชัดเจน แต่ถ้าไม่มีการลงมือทำ แน่นอนว่าก็จะไม่มีผลลัพธ์ที่เป็นชิ้นเป็นอันออกมา และเมื่อไม่มีผลลัพธ์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะประสบความสำเร็จ โดยมักจะมีข้ออ้างมากมายที่คอยขัดขวางไม่ให้ลงมือทำ

เช่น ชอบพูดว่าตอนนี้ยังไม่มีเงิน ไม่มีเวลา ยังทำไม่ได้หรอก ยังไม่พร้อมบ้าง เสี่ยงเกินไปบ้าง อายุมากหรือน้อยเกินไปบ้าง และกลัวความล้มเหลว

ซึ่งต้องบอกเลยว่า พวกมหาเศรษฐีระดับโลกหรือคนที่ประสบความสำเร็จหลายคนทั้งที่อายุมากและอายุน้อยส่วนใหญ่ก็เริ่มจากการลงมือทำตั้งแต่ตอนที่ยังไม่พร้อมนี่แหละ แม้จะไม่ได้มีเงินพร้อมเหมือนในปัจจุบันและทุกคนก็ล้วนผ่านความล้มเหลวมาแล้วทั้งนั้น

ส่วนที่บอกว่าไม่มีเวลา ผมมองว่าเป็นปัญหาการจัดสรรเวลาไม่เป็นต่างหาก เพราะทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงต่อวันเท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะสามารถบริหารจัดการเวลาให้เกิดประโยชน์ได้มากน้อยเพียงใด

#4 การไม่เรียนรู้จากความล้มเหลว

ทุกคนต่างเคยล้มเหลวผิดพลาดกันทั้งนั้น แต่ความล้มเหลวไม่ได้มีแค่ข้อเสียเท่านั้นขึ้นอยู่กับว่าล้มแล้วจะลุกได้เร็วแค่ไหน

เราต้องเริ่มจากการยอมรับและรู้จักที่จะเรียนรู้จากความล้มเหลวโดยมองมันเป็นบทเรียน แล้วเราจะและเติบโตขึ้น และมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น เพราะมันจะทำให้เรามีความมั่นใจที่จะกล้าทำอะไรใหม่ๆ มากขึ้น กล้าที่จะเสี่ยงมากขึ้น แม้ว่าจะต้องพบกับความล้มเหลวอีก แต่ก็ได้เรียนรู้จากความล้มเหลวนั้นโดยใช้เป็นประสบการณ์เพื่อที่จะไม่ผิดพลาดแบบเดิมซ้ำสอง

ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ประสบการณ์คือครูที่ดีที่สุด’

ดังนั้น การไม่รู้จักที่จะเรียนรู้จากความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง และเมื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลง ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะเป็นเหมือนเดิม คือ ความล้มเหลว เหมือนที่ไอน์สไตน์ได้กล่าวไว้ว่า “มีแค่คนวิกลจริตเท่านั้นที่ทำแบบเดิม แต่หวังที่จะได้ผลลัพธ์แบบใหม่”

ความล้มเหลวนำไปสู่ความสำเร็จได้อย่างไร

ความล้มเหลวจะเป็นบทเรียนที่ทำให้เรารู้จักระมัดระวังมากขึ้น และเราจะไม่เดินไปยังเส้นทางที่เคยล้มเหลวมาแล้วอีก จริงอยู่ว่าคนที่ล้มเหลวใช่ว่าจะประสบความสำเร็จกันทุกคน

แต่คนที่ประสบความสำเร็จทุกคน ล้วนเคยผ่านความล้มเหลวกันมาแล้วทั้งนั้น เพราะนั้นความล้มเหลวไม่ได้เป็นสิ่งที่ขัดขวางเราสู่ความสำเร็จ แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จต่างหาก

 ทั้งนี้ความล้มเหลวยังทำให้เราเข้มแข็งและเติบโตขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ได้รับจากการก้าวข้ามผ่านความล้มเหลวมาได้ สำหรับบางคนที่เลือกจะจมอยู่กับล้มเหลว หรือคนที่ยังไม่เคยประสบกับความล้มเหลวมาก่อน จะไม่มีวันเข้าใจถึงความพยายาม และความมุ่งมั่น ที่ต้องทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเพื่อผ่านมันมาให้ได้ รวมถึงผลลัพธ์ที่ตามมาหลังจากนั้นอีกด้วย

อย่างที่ Thomas Watson ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท IBM เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าอยากประสบความสำเร็จละก็ ให้ล้มเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า”

เมื่อผิดพลาดล้มเหลว หลายคนก็มักจะจมอยู่กับปัญหา ทำให้ยิ่งหาทางออกยากเข้าไปอีก ฉะนั้นควรจะเลิกโฟกัสไปที่ความล้มเหลว แต่ควรจะโฟกัสไปที่ทางออกหรือวิธีแก้ไขมากกว่า เพราะปกติว่าคนเราสนใจในเรื่องอะไรเราก็จะเห็นแต่สิ่งนั้น ดังนั้นการที่เราโฟกัสไปที่วิธีแก้ปัญหาจะทำให้เรามองเห็นทางออกของปัญหานั้นในท้ายที่สุด

คนเราล้มก็สามารถลุกขึ้นใหม่ได้ ซึ่งหากไปถามคนที่ประสบความสำเร็จว่า เมื่อล้มเหลวต้องทำอย่างไรต่อไป ทุกคนก็คงจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ก็แค่ลุกขึ้นมาใหม่ ถ้าล้มเหลวอีก ก็ลุกขึ้นสู้ใหม่ เพราะถ้าเมื่อไหร่เราเลือกที่จะถอดใจไม่ยอมลุกขึ้นสู้ ทุกอย่างก็จะจบแค่นั้น และเราก็จะไม่มีวันประสบความสำเร็จ กลับกันหากเราไม่ยอมแพ้ไม่ว่าจะเจอกับอุปสรรคแบบไหนก็ตาม สักวันหนึ่งจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

บทความล่าสุด