7 สิ่งที่ควรรู้เวลาคุณรู้สึกไม่ดีพอ

มีคนพูดไว้ว่า ‘เราไม่สามารถเป็นคนที่ดีขึ้นได้ถ้าเรายังเกลียดตัวเองอยู่’

ไม่ว่าเราจะเป็นใคร บางครั้งมันก็อดไม่ได้ที่จะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ต่อให้คนรอบข้างเราบอกว่าเราดีพอแล้วหรือเก่งพอแล้ว บางครั้งสมองของเราก็จะกระซิบบอกตัวเราว่า ‘ไม่จริง’

มนุษย์เราให้ความสำคัญกับความล้มเหลวมากกว่าความสำเร็จ สมองของเราจะมองหาสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบเสมอ ความล้มเหลวเล็กๆน้อยๆในชีวิตที่คนอื่นมองว่าไม่สำคัญก็กลายเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ในใจของเรา เราไม่ดีพอ ไมคู่ควรกับสิ่งที่เรามี หรือ เราต้องพยายามให้มากกว่านี้

สังคมเราให้ความสำคัญกับ ‘การพัฒนาตัวเอง’ จนบางทีเราก็อดที่จะกดดันตัวเองไม่ได้ เรารู้สึกว่ามีอะไรผิดพลาดในชีวิตเสมอ บางทีสิ่งที่ผิดอาจจะเป็นตัวเราเองก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น เราต้องแต่งงานตอนอายุเท่านี้ เราต้องมีเงินบัญชีเท่านี้ถึงจะดี เราต้องวางตัวให้เหมาะสมในสายตาคนอื่น หรือ เราต้องมีหน้าที่การงานที่ดี เป็นต้น ความคาดหวังที่สังคมมีต่อเรามีอยู่นับไม่ถ้วน

และความคาดหวังและความกดนั้นเหล่านี้ทำให้ลืมไปว่า เราต้องการอะไร และ เราพิเศษมากแค่ไหนแล้ว

7 สิ่งที่ควรรู้เวลาคุณรู้สึกไม่ดีพอ

ความกดดันทำให้เรามองตัวเองแย่ลงเรื่อยๆ เรารู้สึกไม่ดีพอจนไม่มีแรงที่จะทำอะไร ไม่มีกำลังใจที่จะทำอะไร ต่อให้เรารู้สึกแย่แค่ไหนสิ่งที่เราทำได้ก็มีแต่ดูทีวี เล่นมือถือ กิน และนอน

อาทิตย์ที่แล้วผมก็จำได้ว่าผมนอนไม่หลับเพราะคิดว่าตัวเองไม่ดีพอ…เรื่องอะไรก็ไม่รู้ที่ผมจำไม่ได้แล้ววันนี้ บางครั้งเวลาผมเริ่มมองตัวเองในแง่ลบ ผมก็จะลุกขึ้นมาอ่านหนังสือหรือเขียนบล็อกให้ความรู้คนอื่น การหาความรู้เพิ่มเติมกับการให้เป็นสองอย่างที่ทำให้ใจของผมกลับมาสงบอีกครั้ง มันทำให้สมองของผมโฟกัสเรื่องที่สำคัญมากกว่าปัญหาในหัวของตัวเอง ปัญหาที่พอผ่านมาไม่กี่วันผมก็ลืมมันไปแล้ว

ผมพบว่าการเอาตัวเองออกมาจากความคิดว่า ‘เราไม่ดีพอ’ นั้นไม่ใช่เรื่องยากเท่าไร แต่เป็นสิ่งที่เราต้องทำเรื่อยๆ ด้วยการหาวิธีรับรู้อารมณ์ของตัวเองเสมอ การช่วยเหลือคนอื่นหรือการกลับมามองว่าเรามาไกลแค่ไหนแล้วจะช่วยลดความกดดันที่เราคิดขึ้นมาเอง เราอาจจะไม่ต้องหุ่นดีเหมือนดารานางแบบนายแบบต่างๆ ไม่ต้องรวยเป็นเจ้าของบริษัทพันล้านในวันนี้ก็ได้ ถ้าสิ่งพวกนี้เป็นสิ่งที่คุณอยากได้จริงๆ ผมก็แนะนำให้คุณทำตามความฝัน แต่มันไม่ใช่สิ่งที่คุณควรนำมากดดันตัวเองเพราะคนอื่นทำได้เร็วกว่า

เราควรพยายามรับรู้อารมณ์ของตัวเองเสมอ รับรู้ว่าเมื่อไรที่ใจของเราเริ่มคิดในแง่ลบและเริ่มมองตัวเองว่าไม่ดีพอ ไม่คู่ควร ไม่มีค่า หรือไม่เก่ง เพราะการรับรู้คือจุดเริ่มต้นของการแก้ไข แต่ถ้าคุณยังทำไม่ได้หรือทำผิดบ่อยๆก็ไม่ต้องโทษตัวเองไป ทุกอย่างมันเรียนรู้ได้เสมอและมนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำผิดบ่อยอยู่แล้ว มันเป็นกลไกธรรมชาติ

ทักษะการ ‘รักตัวเอง’ เป็นอะไรที่เราต้องฝึกเรื่อยๆแต่ไม่ค่อยมีใครสอนกัน เวลาที่ผมจับได้ว่ากำลัง ‘ลงโทษตัวเองอยู่’ ผมจะทำแบบนี้ครับ

#1 เข้าใจว่าคนที่เราเปรียบเทียบอยู่ก็กำลังเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเหมือนกัน

มนุษย์เราชอบเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่นเสมอ ต่อให้เป็นคนดูเหมือนมีทุกอย่างในโลกแล้ว เค้าก็ยังมีอะไรที่เค้าอยากได้อยู่ดี

ถ้าเราพยายามมองตัวเองในมุมมองของคนอื่น ใช้ความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจมากกว่าการตัดสินและความคิดอิจฉา เราก็จะเห็นคนอื่นด้วยความเป็นจริงได้ เราจะเห็นเค้าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์ทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์แบบและความไม่สมบูรณ์แบบก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลย ทุกคนมีปัญหาในชีวิตทั้งนั้น

#2 สมองเราโกหกได้เนียนมาก

คุณเคยได้ยินคำว่า ‘อย่าเชื่อทุกอย่างที่คุณเห็น’ ใช่ไหมครับ มันฟังดูเท่ดี แต่สิ่งที่จริงกว่านั้นก็คือ ‘อย่าเชื่อทุกอย่างที่คุณคิด’ 

การที่ผมค้นพบว่า ‘อารมณ์และความคิด’ ของผมเป็นสิ่งที่อาจจะไม่จริงก็ได้ทำให้ผมมีสติมากขึ้น ต่อให้สมองของผมมองตัวเองในแง่ร้ายหรือกดดันตัวเองมากแค่ไหน สิ่งที่ผมจะถามตัวเองกลับเลยก็คือ ‘มันจริงเหรอ? มีหลักฐานอะไรบ้าง’ อารมณ์ก็คืออารมณ์ ความคิดก็คือความคิด มันไม่ได้หมายถึงตัวตนที่แท้จริงของเรา และเราก็ไม่จำเป็นต้องให้พลังกับความคิดในแง่ลบเพื่อทำร้ายตัวเอง

หนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาและประสาทวิทยาศาสตร์หลายเล่มได้อธิบายไว้ว่า ความคิดกับความรู้สึกของคนเราสามารถถูกชักจูงโดยฮอร์โมนในร่ายกายของเราได้ ซึ่งฮอร์โมนพวกนี้ก็มาจากสภาพร่างกายและอาหารที่เรากินอีกที เมลาโทนินทำให้เรานอนหลับสนิทและเซโรโทนินทำให้เรารู้สึกมีความสุข ถ้าสิ่งที่แบ่งแยกระหว่างความคิดในแง่ลบกับความคิดแง่บวกมีแค่ การกินอาหารให้ครบหมู่หรือการออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ ผมก็คิดว่าความน่าเชื่อถือของสมองเราก็มีไม่เยอะเท่าไรครับ

#3 คุณมีเรื่องดีมากกว่าเรื่องที่ไม่ดี

คนส่วนมากโฟกัสแต่เรื่องไม่ดีของตัวเองจนลืมเรื่องดีในชีวิตไป ไม่ว่าจะเป็นความดีที่เราทำ ความสำเร็จที่เรามี หรือโอกาสในการทำเรื่องดีๆต่อไปเรื่อย เราต้องเตือนตัวเองบ่อยๆว่าถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ เรื่องดีๆก็จะเกิดขึ้นกับเราเสมอ

ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ ให้ลิตส์ความสำเร็จที่คุณทำมาทั้งหมดแล้วเก็บไว้ใกล้ตัวเลยครับ การกลับไปดูเรื่องดีๆที่ผ่านมาเป็นการเตือนตัวเองได้ดี คนที่รักคุณจริงๆจะคอยบอกคุณเสมอว่าคุณมีค่าแค่ไหน เรื่องเล็กน้อยที่คุณคิดว่าคุณทำได้โดยไม่ได้ลำบากอะไรเลยก็มีความสำคัญต่อคนพวกนี้ครับ ไม่ใช่เพราะแค่เรื่องพวกนี้มีค่ามหาศาล แต่เพราะมันมาจากคุณ คุณเป็นคนทำให้เค้ารู้สึกดี

#4 ช่วงที่เราคิดว่าเราไม่คู่ควรกับความรัก…คือช่วงที่เราต้องการความรักมากที่สุด

บางเวลาคุณอาจจะรู้สึกว่ามันยากที่จะยอมรับความรักของคนอื่นหรือรับคนอื่นเข้ามาในชีวิตในขณะที่คุณรู้สึก โมโห อาย เครียด หรือเศร้า แต่ความจริงแล้ววิธีที่จะหลุดพ้นจากเรื่องแย่ๆในหัวของเราก็คือการโฟกัสเรื่องคนอื่นมากกว่าตัวเอง และหันมามองภาพรวมแทน เคยมีคนพูดไว้ว่าความรักเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่เราจะได้มาในช่วงที่ชีวิตเราลำบาก

หากการรับความรักมันยังยากไปอยู่ ให้คุณเริ่มจากการให้ความรักหรือความหวังดีกับผู้อื่นก่อนก็ได้ครับ

#5 คุณต้องยอมรับและอยู่กับ ‘ปัจจุบัน’ ได้ ก่อนที่จะรู้สึกพอใจกับ ‘สิ่งที่จะตามมา’

คุณไม่สามารถมีความสุขกับผลลัพธ์อะไรได้ทั้งนั้นถ้าคุณยังไม่ยอมรับ ‘สถานการณ์ปัจจุบัน’ ของคุณ เพราะว่าถ้าการเดินทางไม่มีความหมายสำหรับคุณ สิ่งที่จะตามมาหลังคุณถึงจุดหมายแล้วก็คือ ‘การเสียใจภายหลัง’ ครับ

การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ลำบาก แต่ปัจจุบันก็เป็น ‘สิ่งที่คุณไม่อยากได้’ เช่นกัน คุณต้องยอมรับที่สิ่งที่คุณเป็น ในสถานการณ์ที่คุณอยู่ เพื่อที่จะเริ่มพัฒนาตัวเองไปสู่จุดที่ดีกว่า หากคุณทำได้ ปลายทางจะมีค่ามากที่สุด

แทนที่จะพูดกับตัวเองในแนวกดดัน ให้ลองทำแบบนี้ดูแทนครับ

  • ให้คำแนะนำแทนที่จะกดดัน
  • สร้างเป้าหมายระยะสั้นที่เล็กลงมาเพื่อให้เราสามารถวัดผลได้ดีขึ้น

ต่อให้คนอื่นกดดันตัวเองแล้วสามารถประสบความสำเร็จได้ หรือต่อให้คุณเคยทำได้ในอดีต ก็ไม่ได้แปลว่ามันเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณในตอนนี้

#6 โฟกัสกับ ‘ขั้นตอน’ มากกว่าความสมบูรณ์แบบ โฟกัสกับสิ่งที่คุณได้มามากกว่าสิ่งที่คุณต้องทำต่อ

สาเหตุหลักของการรู้สึกไม่พอใจในตัวเองก็คือความคิดที่ว่าทุกอย่างมันต้องสมบูรณ์แบบและทุกอย่างมันต้องเกิดขึ้นทันที ทุกคนอยากให้ทุกอย่างเพอร์เฟคและอยากประสบความสำเร็จกันทั้งนั้น และความคิดพวกนี้จะกดดันเราเสมอเวลาที่เราทำพลาด ยิ่งเราอยากทำให้มันดีแค่ไหน เรายิ่งรู้สึกไร้ค่าเวลาเราทำผิด

สิ่งที่เรามักลืมคิดไปก็คือ ‘การที่เราพยายาม’ ทำอะไรเพื่อเป้าหมายของเราและ ‘การได้ลอง’ ทำอะไรใหม่ๆก็เป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งแล้ว ความล้มเหลวระหว่างทางเป็นแค่ข้อเสียเล็กน้อยของเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของคุณ

แทนที่จะโทษตัวเองว่าทำพลาดและใช้เวลาอยู่กับความหดหู่ เปลี่ยนมาให้รางวัลตัวเองทุกครั้งที่คุณพยายามทำอะไรใหม่ๆหรือทำอะไรคืบหน้าแทนดีกว่า

#7 เราไม่สามารถเป็นคนที่ดีขึ้นได้ถ้าเรายังเกลียดตัวเองอยู่

การตอกย้ำตัวเองว่าเราไม่ดีพอ ไม่คู่ควร หรือไม่มีค่า ไม่สามารถทำให้ชีวิตของคุณประสบความสำเร็จมากขึ้นได้ ต่อให้เราบอกตัวเองว่าเรายังพยายามไม่มากพอก็ไม่แปลว่าเราจะลุกขึ้นมาพยายามมากกว่าเดิมได้ การที่บอกตัวเองว่าเราไม่มีค่าไม่ได้ทำอะให้คุณค่าในชีวิตของคุณมากขึ้นเลย

เรื่องพวกนี้พูดง่ายแต่ยอมรับได้ยาก แต่หากเราอยากจะเริ่มรักตัวเองเราควรเอาเวลาคิดเรื่องไม่ดีมาใช้เพื่อ ‘รักตัวเอง’ ให้มากขึ้นแทน ไม่ว่าคุณจะเป็นใครหรืออยุ่ที่ไหนในสังคม คุณต้องเข้าใจว่าความคิดกับการกระทำนั้นไม่เหมือนกัน มีผลลัพธ์ต่างกัน

คุณดีที่สุดที่คุณเป็นได้แล้วตอนนี้ และคุณจะรู้ว่าคุณรักตัวเองมากขึ้นไม่มากก็น้อยทุกครั้งที่คุณเตือนตัวเองเรื่องนี้ครับ

ผมเขียนอธิบายมาเยอะแล้ว แต่สำหรับบางคนการเปลี่ยน ‘มุมมองความคิด’ อาจจะยากไปหน่อย เพราะฉะนั้นลองทำตามขั้นตอนนี้ดูนะครับ ให้คุณเขียน ‘สามอย่างที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดีพอ หรือไม่มีค่า’ ออกมาดู มันอาจจะเป็น

  • คนบางคนที่โรงเรียนหรือสถานที่ทำงาน
  • โซเชียลมีเดียต่างๆ
  • ทีวีหรือเว็บไซต์ที่เราชอบดู

หากสถานที่ ผู้คน หรืออย่างอื่นทำให้คุณรู้สึกว่าไม่มีค่าหรือไม่ดีพอ ให้คุณลองถามตัวเองดูว่า ‘เราจะใช้เวลาอยู่กับเรื่องพวกนี้ให้น้อยลงได้ไหม?’ 

โฟกัสเกี่ยวกับการลดผลกระทบที่สิ่งพวกนี้มีต่อชีวิตคุณ คุณอาจจะลดเวลาที่คุณใช้กับสิ่งพวกนี้ หรือลดการเอาสิ่งพวกนี้มาคิดกังวลในสมองก็ได้ ให้ลองทำดูซักหนึ่งอาทิตย์นะครับ แล้วดูว่าชีวิตของคุณสดใสมากขึ้นแค่ไหน 

เราสามารถเลือกที่จะไม่สนใจความคิดแย่ๆ แล้วหันมาใช้เวลากับสิ่งที่ช่วยเหลือเราและมีประโยชน์ต่อเราจริงๆ หรือให้เวลากับคนที่สำคัญในชีวิตของเราเป็นต้น

บทความล่าสุด