วิธีเอาชนะคำดูถูก ของคนรอบข้าง

วิธีเอาชนะคำดูถูก ของคนรอบข้าง

อาวุธที่ร้ายกาจที่สุดคือวาจาคน เป็นสำนวนโบราณที่ผู้เฒ่าผู้แก่มักพูดอยู่เสมอเพื่อเตือนสติลูกหลานหรือผู้ที่อ่อนด้อยกว่าด้วยประสบการณ์ ถึงอนุภาพอันร้ายแคงของอาวุธชนิดนี้ที่สามารถทำลายคน ๆ หนึ่งให้เสียผู้เสียคนได้ หรือแม้กระทั่งสามารถส่งเสริมผู้คนให้เจริญรุ่งเรืองได้เช่นกัน

ใช่ครับ ผมกำลังจะพูดถึงปัญหาหนึ่งที่ถกเถียงกันบ่อยมากในสังคมปัจจุบัน ปัญหาที่ซึ่งเป็นสาเหตุของการฆ่าตัวตายที่เพิ่มมาขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกใบนี้หรือแม้กระทั้งในบ้านเราเช่นกัน จากผลสำรวจในปี พ.ศ. 2559 ของศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กวัยรุ่นไทยพยายามฆ่าตัวตายเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอัตราการฆ่าตัวตายที่สำเร็จแล้วถึง 6 คนต่อจำนวนประชากรหนึ่งแสนคน นั่นไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ที่ต้องมองผ่านเลยทีเดียว

และปัจจัยสำคัญคือ การโดนด่าทอทางสังคม หรือที่เราคุ้นหูด้วยศัพท์คำว่า “Bullying” ซึ่งไม่ได้หยุดเพียงแค่ตัวต่อตัว กลับกลายเป็นการแผ่ขยายวงกว้างไปถึงโลกโซเซียลประดุจเชื้อเพลิงเผาผลาญผู้ที่ตกเป็นเหยื่อให้ทรมานทางจิตใจจนสุดท้ายนำไปสู่เหตุการณ์อันเลยร้ายอย่างที่คาดไม่ถึงนั่นเอง

วิธีเอาชนะคำดูถูก ของคนรอบข้าง 

มันคือความจริงที่ปรากฎและที่แย่ไม่กว่านั้น คือเราหลีกเลี่ยงคำพูดแย่ ๆ เหล่านั้นจากคนในสังคมไม่ได้ ตราบใดที่เรายังเป็นสัตว์สังคม รู้รัก โลภ โกรธ หลง และยังมีความต้องการเป็นที่ยอมรับของคนรอบข้าง อิทธิพลของคำพูดก็ยังจะมีผลต่อความคิดและความรู้สึกของเราเสมอ

 แต่ว่าจะมากน้อยแค่ไหนแล้วมีวิธีการใดบ้างที่จะช่วยรับมือกับคำบูลลี่เหล่านั้น เราจะเอาชนะคำพูดร้าย ๆ และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังบวกที่แสนพิเศษได้อย่างไรซึ่งแน่นอนว่าคนดังหลายต่อหลายท่านทำมันได้ และนี่คือความลับของการเอาชนะคำดูถูกของคนรอบข้างของพวกเขาเหล่านั้น

1.ปรับ Mindset ลบ ๆ

กระบวนความคิดลบ ๆ ยิ่งส่งให้คำพูดแย่ ๆ ก่อพลังลบให้กับตัวเรา ยิ่งได้ยินยิ่งแย่ ยิ่งทำให้อารมณ์ร้อนและนำไปสู่การตอบโต้ที่ไร้ซึ่งผลดี การปรับกระบวนความคิดด้วยการหยุดและใช้เวลาวิเคราะห์พฤติกรรมที่เห็นในมุมมองของบุคคลที่สามดูว่าอะไรทำให้เขาต้องเป็นเช่นนั้น การเลี้ยงดู การเติบโต สภาพแวดล้อม สถานะครอบครัว เป็นอย่างไร การหยุดเพื่อคิดและวิเคราะห์สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมนั้นมากขึ้น

มนุษย์ต้องการเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม เพราะมนุษย์มีสัญชาตญาณของการอยู่เป็นกลุ่มก้อน หลายต่อหลายคนพยายามพูดให้ร้ายหรือดูถูกผู้อื่นเพื่อปกป้องตัวเองเพราะเติบโตมาท่ามกลางพฤติกรรมเหล่านั้นและซึมซับด้านลบนั้นมาโดยตลอดจึงเชื่อและคิดว่านี่คือวิธีการปกป้องตัวเองที่ดีที่สุด ซึ่งเมื่อเราลองมองเช่นนี้ จิตเราก็สงบลงได้ ใจร้อนน้อยลงและปล่อยวางคำพูดเหล่านั้นได้ง่ายขึ้น

2.หยุดให้ความสำคัญ  

แน่นอนครับว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงคำพูดแย่ ๆ จากคนแย่ ๆ ได้ แต่เราเลือกที่จะไม่เก็บสะสมคำพูดเหล่านั้นไว้ในความคิดของเราได้ มันเป็นเพียงขยะมีพิษที่เราไม่ควรเก็บมาใส่ใจให้ปวดจิตเล่นเลยสักนิด และไม่มีประโยชน์เชิงสร้างสรรค์เลยหากเราเก็บมาจดจำ สานต่อ คิดวนเวียนให้รกหัวสมอง

หยุดให้ความสำคัญแล้วออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ กินลมชมวิวสวย หรือใช้สมาธิอ่านหนังสือดี ๆ สักเล่มยังจรรโลงใจสมองมากกว่า คุณว่าไหมครับ

3.ใช้ความเคารพเข้าสู้

ในบางสถานการณ์ ความเงียบคือการต่อสู้ที่ดีที่สุด มันหมายถึงการเคารพตัวเองด้วยสติมากกว่าอารมณ์ และแสดงความเคารพต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองอย่างมีเหตุมีผล ไม่จำเป็นเลยที่เราจะไปโต้เถียงในการกระทำที่ไร้ซึ่งการให้เกียรติต่อกันและอยู่ในเกมแย่ ๆ เหล่านั้น

คำดูถูกฟังเผิน ๆ อาจรู้สึกแย่ แต่หากใช้สติในการรับฟัง นั่นอาจเป็นกุญแจใบสำคัญสำหรับประตูแห่งความสำเร็จก็เป็นได้

4. หลีกเลี่ยงสถานการณ์

แน่นอนครับว่า ในยุคออนไลน์เช่นนี้ถ้อยคำดูถูกเหล่านั้นไม่ได้เกิดบนโลกออฟไลน์แต่เพียงอย่างเดียว บางครั้งมันยังตามติดชีวิตของเราไปบนโลกโซเชียลมีเดียด้วย และมันก็ส่งผลแย่มากกว่าผลดีเสมอเหมือนหนอนชอนไชเนื้อมะม่วงที่ปอกไปตรงไหนก็เจอ

เมื่อมันเสียก็แค่ทิ้ง เมื่อมันแย่จนเกินบรรยายชอบกระจายแต่พลังลบ ๆ ก็แค่กดอัลฟอลโล่ เพราะมันไม่มีประโยชน์และคุณค่าที่จะเก็บไว้ทำร้ายจิตใจและความคิดของตัวเราเอง จริงไหมครับ

5. โฟกัสเป้าหมาย อย่างได้ไขว้เขว

หนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อชีวิตที่ปกติสุข คือ เรากำลังเผชิญกับภาวะความภูมิใจในตัวเอง การรักตัวเอง และความมั่นใจในตัวเอง ต่ำเกินมาตรฐาน จนเป็นเหตุทำให้ถ้อยคำดูถูกจากคนรอบข้างก่อตัวเป็นกำแพงสูง ปิดกั้นเป้าหมายและเส้นชัยแห่งความสำเร็จ

จะดีกว่าไหมหากเรากลับมาโฟกัสกันที่เป้าหมายอย่างแน่วแน่ เพื่อทะลายกำแพงคำดูถูกเหล่านั้นให้ล้มลงเหมือนสะพานทอดยาวสู่เส้นชัย ด้วยการกลับมารักตัวเอง ภูมิใจในความเป็นตัวตนของตัวเอง และมั่นใจในพลังแห่งตัวตัวที่แท้จริงอันพร้อมทะยานไปเบื้องหน้าอย่างไม่ไขว้เขว่

6. ปรับโฟกัส เลิกมองจุดดำบนผ้าขาว

มันจะน่าเสียดายมาก ๆ หากเราเพียรโฟกัสเพียงจุดดำเล็ก ๆ บนผ้าขาวผืนใหญ่ ให้ความสำคัญกับแกะดำเพียงตัวเดียวในกลุ่มแกะขาวโพลน บนโลกไม่ได้มีแค่ด้านมืดให้เราใช้ชีวิต ไม่ได้มีแค่มุมมองเดียวให้เรามอง ดังนั้นการใช้ชีวิตไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์อยู่ที่เราเลือกทั้งสิ้น

สุดท้ายเราไม่สามารถเอาคนแย่ ๆ เหล่านั้นออกไปโยนทิ้งทะเลได้สักหน่อย แต่เราสามารถเลิกโฟกัสและให้ความสำคัญกับพวกเขาได้ ยังมีสิ่งมีชีวิตที่สวยงามอีกมากมายรอให้เราได้สัมผัส เพียงเราปรับโฟกัสและมุมความคิดเพราะความสุขเลือกได้เสมอ อยู่ที่ตัวเรานั่นเอง

7. อย่าลืม ขอบคุณ

มาถึงตรงนี้ ผมขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาได้ตั้งแต่ต้นเรื่องจนท้ายเรื่อง ขอบคุณพลังบวกจากบทความนี้ที่ส่งต่อถึงคุณทุกคน และนี่คือสิ่งที่ผมอยากจะบอกทิ้งท้ายในบทความนี้ครับ เมื่อทุกอย่างผ่านเข้ามาในชีวิต จงอย่าลืมขอบคุณ เพราะคำขอบคุณจะทำให้คุณมีมุมมองด้านบวกมากขึ้น

“ปัญหาที่เราพบเจอนั้นอาจไม่ใช่ตัวปัญหา แต่วิธีการแก้ปัญหานั้นต่างหากล่ะคือตัวปัญหา คำพูดแย่ ๆ ที่เราได้ยินได้ฟังมามันอาจไม่ใช่ตัวปัญหาเลย แต่ความคิด วิธีตีความ ความรู้สึก และการตอบโต้ต่างหากล่ะคือตัวปัญหาที่แท้จริง”

การพยายามเรียนรู้และปรับทัศนคติตลอดจนมุมมองที่สร้างสรรค์ จะทำให้คุณสามารถแปรเปลี่ยนพลังลบจากคำพูดแย่ ๆ ให้กลายเป็นพลังบวกเร่งเครื่องยนต์ความคิดให้ทะยานสู่เป้าหมายได้อย่างมั่นคง ดังนั้นจงรู้สึกขอบคุณข้อดีอีกด้านของคำพูดไร้ประโยชน์เหล่านั้น เพราะมันคือความ(ไม่) ลับ ของวิธีเอาชนะคำพูดดูถูกจากคนรอบข้างที่เหล่าคนดังอย่าง Michael Jordan นักบาสระดับโลก, วอลเตอร์ อีเลียส ดิสนีย์ ผู้ก่อตั้ง Walt Disney หรือแม้กระทั่ง โน้ต-อุดม แต้พานิช นักเดี่ยวไมโครโฟนที่มีชื่อเสียงของเมืองไทย และคนอื่น ๆ อีกมากมาย ใช้เป็นแรงผลักดันจนกลายเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงดังเช่นปัจจุบัน

เขาว่าเราจริงก็ไม่ต้องโกรธเขา เพราะเรื่องมันจริง
เขาว่าเราไม่จริง ก็ไม่ต้องโกรธเขา เพราะเรื่องมันไม่จริง แค่นี้จบ
-พุทธภิกขุ-

บทความล่าสุด