ทำไมชีวิต ต้องพบเจอแต่เรื่องร้าย ๆ? ทำไมฉันโชคร้ายเช่นนี้? ทำไมต้องพานพบแต่เรื่องร้าย ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า? ทำไมกันน่ะ?
นี่ไม่ใช่ประโยคคำถามเพื่อเอาคำตอบแน่นอน เพราะในหัวผมตอนที่ได้รับฟังนั้นกลับประมวลว่ามันคือประโยคระบายความอัดอั้นตันใจเสียมากกว่า เพราะถ้ามันเป็นประโยคคำถามที่อยากได้คำตอบแล้วละก็ ผมคงหาคำตอบที่คู่ควรได้ยากยิ่งเช่นกัน
ทําไมชีวิต เจอแต่เรื่องร้ายๆ ? เหตุผลและวิธีแก้
มนุษย์ไม่สามารถทำอะไรที่ขัดต่อสัญชาตญาณได้โดยง่าย และเมื่อหยั่งลึกลงในจิตใจของมนุษย์แล้ว ความสามารถในการรับอำนาจของการสูญเสียมีผลต่อจิตใจมากกว่าอำนาจของการได้มาถึง 2 เท่าเลยทีเดียว ทำให้มนุษย์มีพฤติกรรมที่พยายามจะหลีกหนีการสูญเสียมากกว่าที่จะพยายามเสี่ยงเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
หากเราลองสังเกตุตัวเองและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวผ่านบทละคร หนัง ซีรีย์ หรือแม้กระทั้งบุคคลที่รายล้อม มีสิ่งหนึ่งที่เราเห็นและรับรู้ได้ด้วยสติเมื่อมองย้อนกลับไปพิจารณา นั่นก็คือ การพยายามควบคุมอะไรบางอย่างเพราะเกรงกลัวการสูญเสีย หรือแม้กระทั้งการปิดบังความจริงบางอย่างของตัวเองด้วยเหตุผลเดียวกันคือการกลัวที่จะเสียสิ่งอันเป็นที่รักไป คุณว่าจริงไหม?
Loss Aversion และการที่เรากลัวเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี
สมองของคนเราถูกโปรแกรมให้เกลียดกลัวการสูญเสียสิ่งที่มีค่าต่อจิตใจ จนบางครั้งลืมความคิดที่มีเหตุมีผล และทำให้เกิดการตัดสินใจทำอะไรแย่ ๆ ลงไปจนทำให้เสียโอกาสดี ๆ ที่ควรจะได้รับ นั่นคือพฤติกรรมของมนุษย์ตามหลักจิตวิทยาที่เรียกว่า Loss Aversion หรือทฤษฎีการหลีกเลี่ยงความสูญเสีย อันมีอำนาจจิตใจมากกว่าอำนาจของการได้มาถึง 2 เท่า ดังที่กล่าวมาก่อนหน้านี้
และนี้คือตัวอย่างง่าย ๆ เพื่อให้คุณมองเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น เช่น คุณจะรู้สึกแย่เมื่อสูญเสียเงิน 100,000 บาท มากกว่าความรู้สึกดีที่เกิดจากการได้รับเงิน 100,000 บาทเสมอ ทั้งที่ตามหลักเหตุและผลแล้วความรู้สึกมันควรจะเท่ากัน แต่โดยสัญชาตญาณคนเรากลับไม่เป็นเช่นนั้น
หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ “มนุษย์กลัวความพ่ายแพ้” มากกว่าที่จะ “อยากเอาชนะ” และเมื่อไหร่ที่เราปล่อยให้ความคิดเอนเอียงไปกับความกลัวที่จะสูญเสีย เรามักจะทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียนั้น แม้ว่ามันจะหมายถึงการพลาดโอกาสที่ดี ๆ ในชีวิตไปก็ตาม
ครับ และนี่คือการชวนพินิจถึงคำตอบสำหรับประโยคบอกเล่าที่ว่า ทําไมชีวิต เจอแต่เรื่องร้ายๆ ? ลองมองดูสิ ทุกอย่างล้วนเกี่ยวพันกัน ซึ่งก็ตรงกับหลักจิตวิทยาของ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ที่พบว่า ความคิดเป็นตัวกำหนดอารมณ์ความรู้สึก และสิ่งเหล่านั้นก็เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติซึ่งมันไม่ง่ายสำหรับมนุษย์ที่จะสามารถทำอะไรที่ขัดต่อสัญชาตญาณนั้น
แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปไกลเท่าใดแต่สัญชาตญาณของมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยน ดังนั้น อย่าหลงติดกับดักในใจตัวเองและควรรู้เท่าทันจิต นั่นเอง
แน่นอนว่าเราไม่มีทางห้ามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตได้ ไม่ว่าเหตุการณ์เหล่านั้นจะดีหรือเลวร้ายแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้คือ การตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า “ความรู้สึกเชิงลบอันผุดมาจากความคิดลบ ๆ ย่อมสามารถควบคุมได้ด้วยการคิดบวกสวนกลับในทันที”
อุปสรรคในชีวิต และ กรรมเก่าเชิงพุทธศาสนา
ในทางพุทธศาสนาเราเชื่อกันว่า คนเรามีกรรมเก่าที่ติดตัวมา แฝงอยู่ในทุกอณูความคิดและฝังอยู่ในจิตใจแตกต่างกันไป ส่งผลทำให้แต่ละคนมีวิธีรับมือกับช่วงเวลาที่เลวร้ายของชีวิตที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จและสามารถก้าวผ่านเรื่องราวร้าย ๆ นั้นไปได้อย่างสวยงาม คือ ความพยายามใช้สติเข้าไปจับความคิดของตนเองให้ได้
เรื่องของกรรมเก่าหรือเรื่องมุมสองศาสนา อาจจะไม่ได้เป็นคำตอบที่ถูกใจหลายๆคน แต่หากคุณเชื่อในสิ่งนี้ ผมก็คิดว่าการทำบุญ ทำสมาธิ ก็จะช่วยให้ใจคุณสงบขึ้น มองโลกในแง่ดีมากขึ้น
ซึ่งนั่นหมายความว่าหากมีความคิดลบแฝงตัวอยู่ ให้ใช้ความคิดบวกสวนกลับให้หมด คิดเชิงบวกซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้ง ในเรื่องเดียว จะทำให้ความรู้สึกเชิงลบถูกเปลี่ยนแปลงไปในเชิงที่ดีขึ้น ไม่ตกไปตามเกมกรรมและวิบากแห่งความรู้สึกเชิงลบที่ทอดยาวได้
เรื่องร้ายๆ หรือแค่ความคิดของเราเอง
อีกแนวคิดหนึ่งที่สามารถมอบพลังความรู้สึกเชิงบวกอันทรงคุณค่าสำหรับมนุษย์ คือ แนวคิดที่เชื่อว่าจิตของคนเรามีพลังอำนาจมากพอในการดึงดูดสิ่งดี ๆ และไม่ดีเข้ามาในชีวิตผ่านเหตุการณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ เข้าใจง่าย ๆ คือ เราสามารถดึงดูดสิ่งที่เราคิด เข้ามาในชีวิตเสมอ และนั่นคือ กฎแห่งแรงดึงดูด ดังที่ใคร ๆ เรียกนั่นเอง
แม้ว่าจะเป็นทฤษฎีกล่าวอ้างนี้จะอิงความเชื่อเหนือธรรมชาติ ที่ยังไม่มีการพิสูจน์แน่ชัดทางวิทยาศาสตร์ แต่กลับถูกนำมาพัฒนาเป็นแนวคิดที่สามารถปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเห็นผล ดังปรากฏในหนังสือทรงอิทธิพลอย่าง The Secret ของ Rhonda Byrne ซึ่งได้อธิบายเนื้อหาอันเกี่ยวกับกฎแห่งแรงดึงดูด ที่สามารถสร้างความมหัศจรรย์ในชีวิตได้ เมื่อนำมาปรับใช้กับวิธีคิดอย่างสม่ำเสมอ
แม้ว่ากระบวนการสร้างสรรค์ความสำเร็จจากแนวคิดนี้ จะเป็นเหมือนการตอกย้ำจิตสำนึกของคนเราให้ทำแต่สิ่งที่มุ่งหวังให้สำเร็จอย่างแน่วแน่ แต่ทว่าในชีวิตจริงเป็นเรื่องที่ยากเอาการที่เราจะคิดแต่เรื่องดี ๆ ได้ตลอดเวลา
เพราะมนุษย์มีได้ทั้งความคิดเชิงบวกและลบปะปนกัน ที่สำคัญคือ ความคิดที่เกิดขึ้นแบบอัตโนมัติตามสัญชาตญาณที่ไม่สามารถควบคุมได้ไม่ว่าจะเป็นการเผลอคิดในแง่ร้าย ๆ การกล่าวโทษตัวเอง กล่าวโทษโชคชะตา ด่าท้อผู้อื่น หรือการด่วนตัดสินใจโดยขาดสติ
วิธีผ่านเรื่องร้ายๆ ในชีวิตเรา
วิธีการคือต้องปรับเปลี่ยนความคิดเชิงลบเหล่านั้นด้วยสติ นำความคิดเชิงบวกเข้าไปทดแทนบ่อย ๆ พร้อมกับความเชื่ออย่างตั้งมั่นในพลังแห่งแรงดึงดูดสิ่งดี ๆ
เมื่อทำเช่นนี้บ่อย ๆ สมองเราจะสามารถสร้างกลไกการคิดแบบ Positive Thinking ขึ้น และต่อเมื่อพบเจอปัญหาหรือสถานการณ์เลวร้ายเช่นไรสมองจะหยุดความคิดเชิงลบและทดแทนด้วยมุมมองเชิงบวกทันที ส่งผลให้เราสามารถแก้ไขปัญหาหรือผ่านพ้นสถานการณ์เลวร้ายนั้นไปได้ด้วยอิทธิพลเชิงบวกมากขึ้นนั้นเอง
จากบทความข้างต้นที่กล่าวมาทั้งหมด ผู้เขียนเพียงอยากบอกว่า สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่ทำให้เรายังวนเวียนอยู่กับคำว่า ทําไมชีวิต เจอแต่เรื่องร้ายๆ ?
นั่นเป็นเพราะลึก ๆ แล้วเรายังไม่เชื่อในพลังของตัวเราเองว่าสามารถก้าวข้ามผ่านมันได้ เรามัวใช้เวลาส่วนใหญ่จมดิ่งคิดถึงแต่สถานการณ์ที่เลวร้ายนั้นทั้งที่มันเกินขึ้นและผ่านไปแล้ว อีกทั้งยังให้เวลากับสิ่งที่ไม่ต้องการมากกว่าสิ่งที่ต้องการอีกต่างหาก ๆ เมื่อเราลองสังเกตุตัวเองอย่างมีสติ เราจะเห็นได้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกสถานการณ์ที่สัมผัสรู้ เกิดอยู่ในความคิดวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหัวของเราเสมอ ไม่ว่าดีหรือเลวร้าย
และหากว่าเป็นเช่นนั้นยังจะมีเหตุผลใดที่ทำให้คุณยังคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้น มีเหตุผลใดที่ยังหยุดรั้นความคิดแห่งความสำเร็จที่รออยู่เบื้องหน้า และมีเหตุผลอะไรที่คุณไม่กล้าเสี่ยงเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมาย หากวันนี้คุณยังนิ่งเฉยไม่กล้าเสี่ยงเผชิญกับอุปสรรคที่พานพบเพียงเพราะกลัวที่จะสูญเสียอะไรบางอย่างไป ความหอมหวานแห่งความสำเร็จก็คงไม่อาจสัมผัสได้เช่นกัน
เราเลือกความสุขและความสำเร็จให้กับชีวิตได้ง่าย ๆ เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแนวคิด – ปรับเปลี่ยนความรู้สึก – หยุดความคิดเชิงลบ -เติมความคิดเชิงบวกให้มาก ๆ – โฟกัสไปที่เป้าหมายและกล้าเผชิญความจริงที่เกิดขึ้นด้วยสติ และเมื่อกระบวนการทั้งหมดผูกผสานเข้าด้วยกันชีวิตคุณย่อมดึงดูดแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาแน่นอน
“ทุกการกระทำของชีวิตเรา ย่อมสัมผัสโดยเส้นสายที่จะสั่นสะเทือนในนิรันดร์”
เอ็ดวิน ฮับเบล ชาปิน
บทความล่าสุด
การจัดโต๊ะคอมให้สวยถูกใจ พร้อมฟังก์ชันการใช้งานครบครัน...
ในมุมมองหนึ่ง ‘ลูกคนกลาง’ ดูเหมือนจะต้องแบกรับภาระทางใจอันหนักอึ้ง...