17 วิธีจัดการคนอีโก้สูง ในแต่ละสถานการณ์ (การดัด Ego)

17 วิธีจัดการคนอีโก้สูง ในแต่ละสถานการณ์ (การดัด Ego)

บางครั้งการอยู่กับคนที่มีอีโก้สูงก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ทุกคนคงรู้จักคนประเภทนี้ดีใช่ไหมครับ คนที่เสียงดังเสมอ พูดอะไรก็ไม่ฟัง ตัวเองถูกและคนอื่นผิดตลอด ซึ่งคนที่มีอีโก้สูงนี้นอกจากจะทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดแล้ว ยังทำให้คุณเสียสุขภาพจิตอีกด้วย

บทความนี้จะมาดูกันเรื่องวิธีจัดการคนอีโก้สูงทำยังไงได้บ้าง ซึ่งผมก็ได้แบ่งออกมาสำหรับแต่ละสถานการณ์ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนนะครับ 

วิธีจัดการคนอีโก้สูง ในแต่ละสถานการณ์ 

วิธีจัดการคนอีโก้สูงได้แก่การใช้เหตุผลข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถถูกปฏิเสธได้เพื่อโน้มน้าว หรือ การเลี่ยงที่จะพูดความจริงและใช้ข้ออ้างอื่น เพื่อให้เกิดผลลัพธ์เดียวกันกับที่เราต้องการ แต่ทางที่ดีที่สุดคือการไม่ใส่ใจ ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย

คนที่มีอีโก้สูงคือคนที่เชื่อในความคิดของตัวเองสูง หมายความว่าการโน้มน้าวบุคคลเหล่านี้เป็นไปได้ยาก เพราะฉะนั้นหากคุณอยากจะอยู่ร่วมกับคนประเภทนี้ คุณก็ต้องทำใจว่าคุณต้องใช้แรงกาย แรงใจมากเป็นพิเศษ 

อย่างไรก็ตาม บางครั้งคนที่มีอีโก้สูงก็คือคนที่เรารัก หรือคนที่เราจำเป็นต้องอยู่ร่วมและทำงานด้วย เราไปลองดูวิธีจัดการคนอีโก้สูง แต่ละประเภทกัน

แฟนที่อีโก้สูง

#1 ‘คุณทำให้ฉันรู้สึกว่า’ – ถือว่าเป็นประโยคเด็ดที่ใช้คุยกับใครก็ได้ เพราะถึงแม้คนอีโก้สูงจะสามารถปฏิเสธคำกล่าวหา หรือปฏิเสธความเป็นจริงได้ แต่ก็ไม่มีวิธีไหนที่สามารถปฏิเสธความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ หากเราบอกว่าการกระทำของอีกฝ่ายทำให้เรารู้สึกยังไง โอกาสที่อีกฝ่ายจะรับฟังก็มีเยอะขึ้น

#2 ดูว่าเวลาไหนควรที่จะปฏิเสธ – คนอีโก้สูงหลายคนไม่คิดว่าตัวเองผิด และไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นเรื่องไม่ดี แน่นอนว่าการพูดปฏิเสธคนนิสัยแบบนี้จะทำให้เกิดการทะเลาะกันอย่างไม่รู้จบ สิ่งที่คุณต้องจำไว้ก็คือคุณมีสิทธิ์ในการตัดสินใจของตัวเองเสมอ และไม่ว่าอีกฝ่ายจะโน้มน้าวหรือว่าดื้อดึงมากเพียงไหน คุณก็เป็นคนที่ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง  

#3 ชมการกระทำที่ดี (แต่ห้ามทำบ่อย) – คนอีโก้สูงส่วนมากจะตอบรับคำชมได้ดีกว่าการว่า (หรือมากกว่าคำแนะนำด้วยซ้ำ) เราควรใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด เราควรที่จะชมการกระทำที่ดีเพื่อคะยั้นคะยอให้คนเหล่านี้ทำบ่อยขึ้น แต่ต้องระวังไว้ว่าห้ามชมบ่อย เดี๋ยวอีกฝ่ายจะลืมตัว

หัวหน้าที่อีโก้สูง

#4 ทำตาม แต่ไม่ต้องเห็นด้วย – หัวหน้าก็ยังเป็นหัวหน้า บางครั้งในการทำงานต่อให้เราไม่เห็นด้วย เราก็ควรทำตามอยู่ดี หากคุณเห็นว่าการตัดสินใจหรือคำสั่งครั้งนี้จะทำให้เกิดผลไม่ดี หน้าที่ของคุณก็คือการเตรียมตัวแก้ปัญหาล่วงหน้าโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ 

#5 หาวิธีพูดอ้อมๆ เน้นผลลัพธ์ – การเถียงกับหัวหน้าไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น สุดท้ายแล้วคุณก็ต้องถามตัวเองว่าคุณอยากเถียงให้ชนะ หรืออยากได้ผลลัพธ์ที่ตัวเองต้องการ ในหลายครั้งถึงแม้ว่าคุณจะไม่สามารถโน้มน้าวหัวหน้าได้โดยตรง คุณก็ยังหาวิธีอื่นๆเพื่อเปลี่ยนการกระทำได้อยู่ดี

#6 เตรียมข้อมูลเสริม – ไม่ว่าหัวหน้าจะมีอีโก้สูงมากแค่ไหน คนในที่ทำงานก็ยังมีโอกาสที่จะฟังข้อมูลความเท็จจริงมากกว่าในสถานการณ์อื่น หากคุณสามารถเตรียมข้อมูลเพื่อใช้ในการโน้มน้าวได้ ยิ่งเป็นข้อมูลที่คุณคิดว่าหัวหน้าอยากจะได้ยิน โอกาสที่หัวหน้าจะลดอีโก้ลงมาเพื่อฟังคุณก็จะมีเยอะ

#7 ยกผลงานให้ เพื่อเป็นข้อต่อรองภายหลัง – คนอีโก้สูงไม่ได้แปลว่าจะเป็นคนโง่เสมอไป บางครั้งการยกผลงานให้ เช่นการพูดชมหัวหน้าให้เจ้าของบริษัทฟัง ก็ถือว่าเป็นการสร้างฐานเสียงให้ตัวเองอย่างหนึ่ง เหมือนที่เขาพูดว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน

ลูกน้องที่อีโก้สูง

#8 เข้าใจว่าการสอนคนนั้นใช้เวลา – ในกรณีที่คุณมีฐานะหรือตำแหน่งที่สูงกว่า คุณต้องเข้าใจว่าคุณคือคนที่มีอำนาจการต่อรองมากกว่า หมายความว่าหากคุณยอมที่จะจ้างลูกน้องที่มีอีโก้สูง คุณก็ต้องเตรียมใช้เวลาในการโน้มน้าวลูกน้องคนนี้ ให้เตรียมหาบทเรียนงานที่ท้าทายมากๆเพื่อลดอีโก้ลูกน้องเรื่อยๆ

#9 คนมีอีโก้คือคนที่เข้าใจง่าย – ในฐานะคนทำงาน หน้าที่หลักก็คือการทำงานให้เสร็จ คงไม่มีฟันเฟืองไหนที่จะช่วยงานคุณได้มากกว่าลูกน้องที่เข้าใจง่าย เพราะคุณสามารถคาดเดาพฤติกรรมของลูกน้องได้ง่าย ให้นำอีโก้ของลูกน้องมาเป็นเครื่องต่อรองในการโน้มน้าวได้เลย

#10 ไม่ล่อ ก็ต้องไล่ – เป็นบทเรียนของนักธุรกิจหลายคน ว่าหากเราไม่สามารถล่อหรือโน้มน้าวพนักงานให้ทำงานได้ การปล่อยให้พนักงานไปทำอย่างอื่นก็คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

คนโง่ที่อีโก้สูง

#11 เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง – สุดท้ายแล้วการเลี้ยงคนที่มีอีโก้สูงก็ดีกว่าการปะทะโดยตรง เถียงแพ้เราก็รู้สึกไม่ดี เถียงชนะเราก็เหนื่อย (แถมอีกฝ่ายก็ไม่ทำตามอยู่ดี) หากเป็นไปได้เราเอาเวลามาหาความสุขเข้าตัวดีกว่าครับ

#12 ฟัง แต่ไม่ตอบโต้ – หากเราเชื่อมั่นในความคิดหรือความเชื่อของเรา เราก็สามารถรับฟังความคิดเห็นคนอื่นได้ เพียงแค่คุณไม่ต้องทำตามและไม่ต้องตอบโต้ หากอีกฝ่ายทำตัวโมโหหรือพูดเสียงดัง คุณก็มีสิทธิ์ที่จะเดินหนี

#13 ความคิดเห็นของคนเหล่านี้…ไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ – ความคิดเห็นก็คือความคิดเห็น คุณนำมาพิจารณาได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บมาคิดเพิ่มเติม หรือนำมาใส่ใจเกินความจำเป็น เพราะคนเหล่านี้ก็คงไม่ได้มารับผิดชอบอะไรในชีวิตคุณมากไปกว่าการพูดโดยไร้เหตุผล

คนโง่ที่อีโก้สูงคงเป็นคนที่ไม่มีใครอยากจะร่วมงานหรือร่วมชีวิตด้วย หากคนเหล่านี้ไม่ใช่คนที่สำคัญในชีวิตคุณ การตัดทิ้งได้ก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว

ตัวเราที่อีโก้สูง

#14 ฝึกการปล่อยวางเล็กๆน้อยๆ – หลายครั้งที่อีโก้สูงมาจากการยึดติดความเชื่อหรือความคิดอะไรผิดๆโดยที่เราไม่รู้ตัว ข้อเสียก็คือหากเราไม่รู้ตัว เราก็ไม่สามารถแก้ไขได้ ให้คุณเริ่มจากการปล่อยวางสิ่งเล็กๆน้อยๆในชีวิตที่ไม่สำคัญไปก่อน อาจจะเริ่มจาก การให้ หรือ การช่วยคนที่เราไม่รู้จัก เพื่อปล่อยตัวเองจากอีโก้ที่สูง

#15 ฝึกการอธิบายความรู้สึก โดยเฉพาะความรู้สึกที่อ่อนแอ – หนึ่งในวิธีรับรู้อีโก้ตัวเอง ก็คือการหาโอกาสอธิบายความรู้สึกตัวเองออกมา หากคุณมีคนรอบข้างที่พร้อมจะรับฟัง คุณก็นับว่าเป็นคนที่โชคดีในระดับหนึ่ง หรือถ้าหากคุณอยากทำด้วยตัวเอง ก็ให้ลองจดความคิดออกมาเขียนใส่กระดาษดูก่อนก็ได้ครับ ทำอย่างนี้เรื่อยๆและคุณจะสามารถฝึกจับความคิดตัวเองได้

#16 พูดขอบคุณให้บ่อยๆเข้าไว้ – คำว่าขอบคุณ (และขอโทษ) เหมือนเป็นคำพูดวิเศษที่ช่วยปลดปล่อยเราจากอะไรหลายๆอย่าง ตราบใดที่เราพร้อมที่จะพูดคำเหล่านี้จากใจจริง การยอมรับความช่วยเหลือของคนอื่นและยอมรับความผิดของตัวเองเป็นขั้นตอนที่สำคัญของการจัดการอีโก้ตัวเอง

#17 หากการรับฟังอย่างยากอยู่ ให้เริ่มจากการสังเกตตัวเอง – ให้ตอบคำถามให้ได้ว่าเรารู้สึกเศร้า กลัวและโมโหกับอะไร เพราะสิ่งที่ตรงกันข้ามกับอารมณ์เหล่านี้ก็คืออีโก้ของคุณ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอีโก้ที่คุณมีอยู่จะเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพียงแค่คุณต้องไม่ใช้สิ่งเหล่านี้ในการกดดันหรือทำร้ายคนอื่น

อีโก้ก็เหมือนกางเกงใน นำมาใส่ได้ทุกวัน แต่ก็คงไม่มีใครอยากดู
โดยเฉพาะอีโก้เรื่องเดิมๆ

สุดท้ายกับวิธีจัดการกับคนอีโก้สูง

สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอีโก้ของใครทำร้ายเราได้เท่าอีโก้ของตัวเอง หากเรารู้สึกโมโหเพราะคำพูดของคนอื่น นั่นก็เพราะว่าเราเชื่อว่าคำพูดของคนอื่นนั้นขัดแย้งกับความเชื่อในหัวของเรา

อีโก้เป็นตัวตนของเราอย่างหนึ่ง สามารถทำให้เรามีความสุข แล้วก็สามารถทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดได้ แต่ข่าวดีก็คือทุกอย่างอยู่ในความควบคุมของเรา หากเราเรียนรู้ที่จะฝึกสมาธิ ฝึกสติ ให้กับตัวเอง

บทความเกี่ยวข้องที่เราแนะนำ

บทความล่าสุด