Self Esteem คืออะไร? วิธีสร้างความภูมิใจในตัวเองทำยังไง?

Self Esteem คืออะไร? วิธีสร้างความภูมิใจในตัวเองทำยังไง?

ในปัจจุบันหัวข้อเรื่อง Self Esteem ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกันมากขึ้น เพราะว่าการมี Self Esteem นั้นส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของเรา ทัศนคติที่เรามีต่อตนเองและสังคม รวมถึงส่งผลโดยตรงกับสภาวะจิตใจของเราอีกด้วย

ซึ่งปัจจัยที่จะกำหนดระดับ Self Esteem ของแต่ละบุคคล ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตที่แต่ละบุคคลได้ผ่านมาด้วยครับ

ในบทความนี่เรามาดูกันว่า Self Esteem คืออะไร มีแล้วทำให้ชีวิตเราดีขึ้นยังไง และ เราจะมีวิธีไหนที่จะสร้าง Self Esteem ให้กับตัวเองได้บ้าง

Self Esteem คืออะไร ?

Self Esteem หรือ ความภูมิใจในตัวเอง คือทัศนคติและการประเมินคุณค่าตนเอง ที่ส่งผลต่อความภูมิใจและความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งรวมถึงความคิดต่อตัวเองในมุมมองต่างๆ เช่น มุมมองต่อภาพลักษณ์ ความเชื่อ อารมณ์ และ พฤติกรรมต่างๆ คนที่มี Self Esteem คือคนที่มีความสุข เห็นค่าของตัวเอง

หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดในเชิงที่ว่า เราควรเห็นคุณค่าในตัวเองนะ ต้องรักตัวเองให้มากพอ สร้างความภาคภูมิใจในตัวเองก่อน เราถึงจะเกิดความมั่นใจในการทำสิ่งต่างๆได้อย่างสัมฤทธิ์ผล และออกมาดี

ความคิดแนวนี้จะทำให้เราจะมีทัศนคติต่อตนเองในเชิงบวก ส่งผลให้เราสามารถรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตได้เป็นอย่างดี และมีภูมิต้านทาน ไม่ท้อแท้กับปัญหา อุปสรรค หรือความท้าทายใหม่ๆที่ต้องเผชิญได้ง่ายๆ ซึ่งความภาคภูมิใจในตัวเองนั้น จะสะท้อนออกมาจากการที่เราเห็นคุณค่าในตัวเองนั่นเอง หรือที่คนทั่วไปเรียกว่าการมี Self Esteem

คนที่มี Self Esteem ในระดับที่ดีจะมีพฤติกรรมและทัศนคติที่สะท้อนออกมาให้เห็น เรียกว่าตัวอย่างลักษณะพฤติกรรมมีเยอะมากครับ เช่น

#1 เป็นตัวของตัวเอง สามารถรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างไม่รู้สึกวิตกกังวล
#2 ไม่รู้สึกว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงแนวคิด หรือทำสิ่งต่างๆตามที่คนอื่นมุ่งหวัง
#3 กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ๆ
#4 สามารถรับมือกับความไม่แน่นอนได้อย่างง่ายดาย
#5 มองสิ่งที่เข้ามาเป็นโอกาสที่ดีในการเรียนรู้ใหม่ๆ และ ก้าวออกมาจาก comfort zone ได้ทุกเมื่อ
#6 ตื่นเต้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในข้างหน้าในเชิงสร้างสรรค์และเชิงบวก
#7 ไม่ทนกับสิ่งที่มองแล้วว่าไม่ทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น กล้าที่จะเลือกความแตกต่างใหม่ที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นจากเดิม
#8 ใช้ชีวิตด้วยแนวคิดที่ว่า ทำทุกอย่างให้เต็มที่และไม่เสียใจภายหลัง
#9 ไม่ได้คาดหวังทุกอย่างต้องออกมาสมบูรณ์แบบเสมอไป พร้อมรับมือกับความผิดพลาดและนำความผิดพลาดนั้นมาเป็นบทเรียนเพื่อพัฒนาตนเองต่อไป
#10 มีพฤติกรรมที่รักตัวเองผ่านการดูแลตนเองเป็นอย่างดี เช่น รักษาสุขภาพโดยการออกกำลังกาย นอนพักผ่อนเพียงพอ การเลือกทานอาหารที่ดีเป็นประโยชน์ต่อตนเอง

Self Esteem กับ Self Confidence ต่างกันอย่างไร

Self Esteem หมายถึงความภูมิใจในตัวเอง เป็นความเชื่อในตัวเอง รู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่เราเป็น ส่วน Self Confidence คือความมั่นใจในตัวเอง เป็นความเชื่อมั่นในทักษะหรือความสามารถบางอย่าง สองคำนี้เกี่ยวข้องกับมุมมองและความเชื่อของเรา แต่ต่างกันที่เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของความเชื่อนั้น

จากที่ผมได้เกริ่นนำไปตามข้างต้นนั้น เราสามารถสรุปได้ว่า Self Esteem คือการที่เรารู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง มีมุมมองต่อตัวเองในเชิงบวกและสร้างสรรค์ เห็นคุณค่าในสิ่งที่เราเป็น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์/ประสบการณ์ต่างๆที่บุคคลนั้นประสบพบเจอในอดีตที่ผ่านมานั่นเองครับ

แต่ยังมีอีกคำที่คล้ายคลึงกัน คือ Self Confidence หมายถึง ความมั่นใจและเชื่อมั่นในตนเองในการรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งทั้ง 2 คำนี้มีจุดที่เหมือนกันในเรื่องของทัศนคติในการคิดที่มีต่อตนเอง คือ การมีมุมมองความคิดที่เห็นคุณค่าจากภายใน (ตัวเอง) กับ การมั่นใจว่าตัวเองสามารถรับมือและจัดการกับปัญหาได้

อีกหนึ่งคำที่คนใช้ควบคู่ไปกับ Self Esteem และ Self Confidence ก็คือคำว่า ‘อีโก้’ เช่น คนมีอีโก้เยอะ ในส่วนนี้ผมแนะนำให้ลองอ่านบทความเพิ่มเติมของผมเรื่องอีโก้ด้วยนะครับ เป็นการวิเคราะห์ว่าอีโก้จริงๆคืออะไรกันแน่ อีโก้คืออะไร – Ego และความมั่นใจในตัวเองที่สูงเกินไป

ยกตัวอย่างง่ายๆเพื่อให้เราเข้าใจกันมากขึ้นนะครับ นาย A มีความภาคภูมิใจในตนเอง (Self Esteem) ว่าเราเก่ง เราเสียงหล่อ เราบุคลิกดี ดูเท่ แต่ถ้านาย A ต้องไปยืนร้องเพลงกลางเวทีซึ่งเป็นครั้งแรก โดยที่ไม่เคยมีประสบการณ์ผ่านเวทีที่ไหนมาก่อนเลย นาย A อาจจะขาดความมั่นใจ (Self Confidence) ในการขึ้นเวทีร้องเพลงก็เป็นได้ เพราะไม่เคยมีประสบการณ์บนเวทีมาก่อนนั่นเอง

คนที่มี Self Confidence อาจจะเก่งในการแก้ไขสถานการณ์หรือปัญหาที่เกิดขึ้นได้ เช่น สามารถขึ้นพูดบนเวทีโดยไม่เคอะเขิน มีความมั่นใจในการตอบคำถามเกี่ยวกับงานที่ตนเองทำ มีความมั่นใจในการลงแข่งขันเกมส์โชว์ และ กล้าแสดงออกต่อที่สาธารณะ เป็นต้น แต่ คนที่มี Self Confidence สูง ก็ไม่จำเป็นเสมอไปว่าคนๆนั้นจะต้องมี Self Esteem สูงน่ะครับ

จากตัวอย่างด้านบน ถ้าเทียบกลับกัน นาย A เป็นคนที่มี Self Confidence สูง เพราะผ่านเวทีการร้องเพลงมาเยอะ สามารถขึ้นเวทีได้เป็นธรรมชาติ มีความมั่นใจ แต่นาย A อาจจะมี Self Esteem ต่ำหรือไม่มีก็เป็นได้ เพราะถ้านาย A มีความคิดในเชิงที่ชอบดูถูกตัวเอง และมองว่าตัวเองก็ยังไม่เก่งพอ ไม่ดีพอ ร้องเพลงยังไงก็ไม่ได้เรื่อง

หรือพูดง่ายๆ คือไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเองเลย ต่อให้ทำดีแค่ไหนก็ตาม ถึงแม้จะขึ้นแสดงบนเวทีมาสักกี่เวทีก็ไม่ได้ส่งผลให้รู้สึกภูมิใจในตัวเองเลย เพราะมองตัวเองในด้านลบตลอดเวลา ไม่เห็นคุณค่าในตัวเองนั่นแหละครับ จะเห็นได้ว่า ถึงแม้คนนั้นจะมี Self Confidence สูง แต่ก็ไม่จำเป็นว่าคนๆนั้นจะต้องมี Self Esteem สูงด้วยนะครับ

ปัญหาของการมี Self Esteem ต่ำ

การที่มี Self Esteem ต่ำ หรือ มีความภาคภูมิใจ/เห็นคุณค่าในตัวเองต่ำนั้น นั้นสามารถส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคุณในหลายๆด้านเลยครับ

เพราะทัศนคติของเรา…ที่มีต่อตัวเราเองนั้น จะมีผลต่อสุขภาพกาย และ สุขภาพใจของเราโดยตรง

อาจจะเกิดจากประสบการณ์ และสภาพของครอบครัว การเลี้ยงดูที่แตกต่างกันไปของแต่ละบุคคล เช่น การเลี้ยงดูที่ถูกตีกรอบทางความคิดตลอดเวลา การถูกกดดันให้ทำตามที่พ่อแม่สั่ง การสั่งสอนที่ไม่ฝึกให้คิดเองและไม่ฝึกการกล้าเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอน/ความท้าทายใหม่ๆ การที่พ่อแม่หย่าร้างกันทำให้กลัวการเริ่มต้นความสัมพันธ์กับคนใหม่ๆ ประสบปัญหาทางด้านการเงินที่แก้ไขได้ยาก ถูกคนดูถูกจนฝังใจและเก็บเข้ามายึดติดในใจ เป็นต้น

ผมเข้าใจนะครับว่า หากใครที่ได้ประสบพบเจอปัญหาแบบที่กล่าวไปข้างต้น ย่อมทำใจได้ยากที่จะฟื้นใจให้กลับมาแบบแจ่มใส มีความสุข ภาคภูมิใจ และเห็นคุณค่าในตนเองได้ แต่ผมอยากจะบอกว่า หากคุณเป็นคนที่มี Self Esteem ในระดับที่ต่ำนั้น จะเกิดปัญหาต่อไปนี้ตามมาแน่นอนครับ

  • ตัดขาดโลกภายนอก เสี่ยงต่อการเป็นภาวะซึมเศร้า : คุณจะพยายามหลีกเลี่ยงสังคม หรือกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องพบเจอผู้คนแปลกหน้าหรือเพื่อนที่คุณรู้จักก็ตาม เพราะคุณกลัวว่าคนอื่นอาจจะไม่ได้รัก หรือไม่ชอบคุณ เนื่องด้วยคุณไม่ภาคภูมิใจในตัวเองเอาเสียเลย รวมถึงคุณจะรู้สึกหดหู่กับตนเอง ชินกับการไม่เข้าสังคม และยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าได้ง่ายด้วยครับ
  • ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น/ตัดสินใจ : เพราะคุณกลัวความผิดพลาด กลัวกังวลไปก่อน กลัวการไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะคิดว่าตัวเองยังไม่เก่งพอ ไม่มีค่าพอ หรือมีเหตุผลต่างๆนานาที่เป็นข้ออ้างเพื่อ discredit ตัวเองได้ครับ
  • มีแนวคิดแบบ Perfectionism : คุณจะยึดติดในความสมบูรณ์แบบที่ไม่รู้จักพอ เพราะกลัวว่าจะทำออกมาได้ไม่ดีที่สุด กลัวว่าจะผิดพลาด หรือบางทีอาจจะเผลอไปกดดันผู้อื่นให้ต้องทำตามแบบนั้นแบบนี้อีกด้วย
  • สุขภาพไม่ดี มีความเสี่ยงเป็นโรคต่างๆได้ง่าย : คุณจะไม่ค่อยดูแลตัวเอง เพราะคุณไม่รักตัวเองเท่าที่ควร คุณก็เลยไม่ใส่ใจที่จะดูแลสุขภาพของคุณ (พูดง่ายๆคือไม่รักตัวเองครับ) คุณอาจจะถึงขั้นทำร้ายร่างกายตัวเอง และอาจมีพฤติกรรม อย่างเช่น เหนื่อยง่าย ขี้กังวล เพลียตลอดเวลา หดหู่ เบื่ออาหาร หรือนอนไม่ค่อยหลับได้ด้วย
  • มีความสัมพันธ์ระยะยาวไม่ได้ : คุณจะรู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นที่รักเอาเสียเลย ไม่ยอมเปิดใจกับใคร ถึงจะเปิดใจก็เปิดได้ไม่เต็มที่ เพราะคุณไม่กล้าจะพูดหรือปรึกษาในสิ่งที่คุณไม่ชอบใจ (ไม่กล้าที่จะเปิดอกคุยกันนั่นเองครับ) เนื่องด้วยกลัวคนๆนั้นจะไม่รักเรา กลัวว่าเราไม่ดีพอ ซึ่งบางคนอาจถึงขั้นแสดงออกมาในเชิงก้าวร้าว หรือพยายามกลั่นแกล้งผู้อื่นก็เป็นได้น่ะครับ

วิธีสร้าง Self Esteem ที่ใครก็เริ่มได้วันนี้

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ จากที่ทุกคนได้อ่านบทความด้านบนไป คงอยากจะรู้แล้วสิว่าเราจะมีวิธีการในเสริมสร้าง Self Esteem ให้แก่ตัวเองได้อย่างไร ถึงบางคนจะมีอยู่แล้ว ก็สามารถสร้างให้เพิ่มขึ้นได้ในระดับที่เหมาะสมนะครับ ผมจึงอยากมาแบ่งปัน 5 วิธีการที่จะสามารถช่วยให้เราเสริมสร้าง Self Esteem ให้มีมากยิ่งขึ้นได้ครับ

#1 วิธียอมรับและอยู่กับปัจจุบัน

อันดับแรกเลย เราต้องเข้าใจตัวเองก่อน และเข้าใจสภาพการดำรงชีวิตในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นด้านครอบครัวการเลี้ยงดู แนวคิด/ทัศนคติที่ได้รับการปลูกฝังมา สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย ความพร้อมในด้านฐานะและอาชีพที่เป็นอยู่ เข้าใจจุดแข็ง-จุดอ่อนของตนเอง

เมื่อเราเข้าใจสิ่งที่เรามีอยู่หรือเป็นอยู่แล้ว เราแค่มานั่งทบทวนว่ามันมีคุณค่าในทางตรงหรือทางอ้อมอย่างไรกับเรา ในจุดที่เรามองว่ามันทำให้เรารู้สึกแย่ และบั่นทอนกำลังใจหรือศักยภาพในตัวเรา เราก็ควรที่จะกล้าลุกหรือเดินออกมาจากกรอบความคิดนั้นๆ และลองเผชิญทางเลือกหรือแนวทางใหม่ๆดูบ้าง เผื่อจะได้ช่วยให้เรายกระดับจิตใจและเห็นคุณค่าในตัวเองมากยิ่งขึ้นครับ

สำหรับคนที่ยังอยู่ในสภาวะ ‘ไม่เข้าใจตัวเอง’ หนึ่งเครื่องมือที่สามารถทำได้ง่ายและเริ่มได้ทันทีก็คือ ‘การเรียบเรียง’ จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และ อุปสรรค ของคุณ สามารถเรียนรู้วิธีทำได้ง่ายๆที่นี่ วิธีการทำ SWOT ตัวเอง

#2 วิธีเลิกยึดติดกับอดีต หรือความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น

ผมอยากจะบอกนะครับว่า มันเป็นธรรมดามากที่ทุกคนจะเคยทำผิดพลาดมา เหมือนกับสำนวนที่ว่า “สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง” หลายๆคนที่ยังคงวิตกจริตและยึดติดกับความผิดพลาดหรือเหตุการณ์ในอดีต แล้วนำมากำหนดทิศทางในชีวิตตนเองว่าจะต้องเป็นแบบนั้น เพราะเราแย่ เราเคยผ่านประสบการณ์ไม่ดี เราไม่มั่นใจในตัวเองเลยจากการที่เราเจอแบบนั้นแบบนี้

แต่คนเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ครับ เราสามารถเปลี่ยนความผิดพลาดหรือสิ่งที่เกิดขึ้นในเชิงลบมาเป็นบทเรียนเพื่อสอนเราได้ ไม่ให้เราไปทำผิดพลาดซ้ำอีก นำมาช่วยในการพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ผมอยากแนะนำว่า ให้เราลองเปลี่ยนวิธีคิด และหันมาให้กำลังใจตัวเอง อย่าบั่นทอนตัวเอง เลือกที่จะมองในมุมที่เป็นจุดดี/จุดที่เราสามารถเรียนรู้เพื่อนำมาต่อยอดพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นจะดีกว่านะครับ

แม้แต่ผู้นำระดับสูง กว่าเขาจะไปถึงจุดที่ประสบความสำเร็จแบบที่ทุกคนเห็นได้ เขาก็ต้องผ่านความผิดพลาด หรือมีอดีตแย่ๆที่ไม่น่าจดจำกันทั้งนั้น แต่มันอยู่ที่เราเลือกจะมองมันอย่างไร และใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์และประสบการณ์เหล่านั้นในเชิงไหนครับ

ในส่วนนี้ผมแนะนำให้ทุกคนอ่านบทความเรื่อง ความสุขจากการไม่ยึดติดบนบล็อกนี้ ดูนะครับ น่าจะทำให้เห็นภาพมากขึ้น

#3 การแยกแยะ ความเป็นจริง vs การดราม่า/การคิดปรุงแต่งไปเอง

ทุกวันนี้คนเรามีความรู้สึกกลัวหรือวิตกกังวล ส่วนใหญ่แล้วมาจากการปรุงแต่งทางความคิดกันเยอะนะครับ ทั้งๆที่ความจริงแล้วอาจจะไม่ได้ดราม่าเท่าที่เราคิดก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราจะขึ้นเวทีเพื่อนำเสนอผลงาน เราก็จะวิตกกังวลไปก่อนแล้วว่า กลัวจะพูดติดขัด จำบทไม่ได้ นำเสนอได้ไม่เป็นมืออาชีพ กลัวคนจะไม่ชอบ หรือเหตุผลต่างๆนานาที่เรานำมาปรุงแต่ง

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ‘ความคิด’ ก็ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลย เราควรหันมาคิดว่า เราจะฝึกซ้อมให้เชี่ยวชาญ จะได้นำเสนอให้คนฟังเข้าใจได้ง่าย ซึ่งผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของอนาคตนะครับ แต่เรานั้นทำเต็มที่แล้วหรือยัง แบบนี้ถึงจะเรียกว่าอยู่บนหลักความเป็นจริงมากกว่า การไปปรุงแต่งดราม่าไปก่อนครับ เพราะฉะนั้นควรแยกแยะให้ได้ว่าที่เราคิดไปก่อนนั้นเป็นแค่อารมณ์หรือความกลัวล่วงหน้าไปก่อน เทียบกับความจริงในปัจจุบันที่อยู่ตรงหน้า จะทำให้เราสามารถลดความกังวลและเปลี่ยนทัศนคติต่อเรื่องนั้นๆได้ดียิ่งขึ้นนะครับ

#4 ขอบคุณสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน

คนเราส่วนใหญ่ชอบรอที่จะขอบคุณหรือดีใจกับเรื่องใหญ่ๆที่เกิดขึ้น (ต้องเป็นความประทับใจที่ไม่รู้ลืม) แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกวันนี้เรามีเรื่องต่างๆมากมายในแต่ละวันที่ทำให้เรารู้สึกดีใจ/ขอบคุณได้นะครับ ผมแนะนำให้ลองนึกและจดออกมาผ่านสมุดบันทึก หรือใน note ของมือถือก็ได้นะครับ แล้วแต่ที่สะดวกเลยครับ ใช้เวลาไม่นานในการลอง list ออกมาสัก 4-5 ข้อในแต่ละวัน ว่าเรารู้สึกขอบคุณเรื่องอะไรบ้างที่ผ่านเข้ามาในวันนั้นๆ

เช่น ดีใจที่วันนี้ทำงานที่ได้รับมอบหมายทันตามกำหนด ดีใจที่ได้กินข้าวมื้ออร่อยกับกลุ่มเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน หรือดีใจที่วันนี้อากาศดีเดินไปทำงานได้อย่างสบายๆ เป็นต้น

แต่ความประทับใจเหล่านี้ต้องเกิดจากความรู้สึกจริงๆจากใจเรานะครับ ถึงจะทำให้เรารู้สึกร่วมกับเรื่องที่เราจดออกมา ซึ่งพอเราเก็บเป็นบันทึกไว้ เราสามารถนั่งกลับมาอ่านย้อนหลังได้ จะพบว่าในแต่ละวันเราพบเจอเรื่องดีๆมากมายทั้งเรื่องเล็กหรือใหญ่คละเคล้ากันไป ชีวิตเราเลือกที่จะรับรู้ด้านดีได้ และเลือกที่จะเข้าใจด้านที่ไม่ดีและปล่อยวาง เพื่อนำมาเป็นบทเรียน แต่ไม่จำเป็นต้องไปรู้สึกร่วมหรือจดจำมาใส่ใจขนาดนั้นครับ

#5 การออกกำลังกาย และรักษาสุขภาพตนเอง

การออกกำลังกายทำให้เรามีความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า กระฉับกระเฉงมากยิ่งขึ้น แถมตามมาด้วยการมีรูปร่างที่ดูดี สุขภาพดี ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้นด้วยนะครับ การออกกำลังกาย

และการเลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพนั้น ช่วยส่งเสริมสุขภาพเราให้ดียิ่งขึ้นแล้ว ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจเราให้ดีขึ้นด้วย เพราะเราจะมีความมั่นใจในตัวเองยิ่งขึ้น นำมาซึ่งทัศนคติที่ดีต่อตัวเอง ส่งผลให้ยกระดับความมั่นใจ ความภาคภูมิใจในตนเอง รวมถึงยังเป็นการฝึกฝนการมีวินัยที่ดีต่อตัวเองอีกด้วยครับ

สุดท้ายนี้เกี่ยวกับ Self Esteem

จากที่ผมได้กล่าวมาทั้งหมดในข้างต้น หวังว่าทุกคนที่ได้อ่านจะเข้าใจถึงคำว่า Self Esteem มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังเข้าใจถึงผลกระทบ และประโยชน์ของ Self Esteem และวิธีการพัฒนาหรือเสริมสร้างการมี Self Esteem ให้ดีขึ้นได้ครับ

ผมแนะนำให้ลองนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับชีวิต ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนดูนะครับ ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถพัฒนา Self Esteem ได้ ชีวิตที่ชาญฉลาดคือการรู้จักเลือก เราสามารถเลือกสิ่งที่ดีมีคุณค่าให้แก่ตัวเองได้ เริ่มมองตัวเองในทางที่ดี มีความภาคภูมิใจในตัวเอง หมั่นพัฒนาสิ่งที่ยังบกพร่อง ขอบคุณสิ่งเล็กๆน้อยๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เรียนรู้จากข้อผิดพลาด มองหาจุดที่ดีในเชิงบวกและสร้างสรรค์

เราทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขทั้งสภาพร่างกายและจิตใจครับ เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังพัฒนา Self Esteem ให้แก่ตัวเองอยู่ ผมมั่นใจว่า ทำได้ และทำได้ดีด้วยครับ สู้ๆครับ

บทความเกี่ยวข้องที่เราแนะนำ

บทความล่าสุด